Cadmium
1998 12 Oct 2012

Cadmium
โดย นพ.คุณากร สินธพพงศ์ (11 มิถุนายน พ.ศ. 2554)
ชื่อ แคดเมียม (cadmium)
ชื่ออื่น Colloidal cadmium
น้ำหนักอะตอม 112.411
CAS number 7440-43-9
UN number 2570
ลักษณะทางกายภาพ เป็นแร่โลหะสีเงินขาว อ่อนตัว เป็นมันเงา หรือเป็นผงเม็ดละเอียดสีเทา
คำอธิบาย แคดเมียมในธรรมชาติพบในรูปแบบของสารประกอบซัลไฟด์ซึ่งจะพบร่วมกับสังกะสีและทองแดง โดยทั่วไปได้รับเข้าสู่ร่างกายในการทำเหมืองแร่ และหลอมสังกะสี ทองแดง และตะกั่ว แคดเมียมถูกใช้ในการชุบโลหะ ด้วยคุณสมบัติต้านทานการกัดกร่อนของมัน เกลือโลหะของมัน ถูกใช้ในการทำเม็ดสีและการคงรูปพลาสติก แคดเมียมอัลลอยด์ถูกใช้ในการประสาน, การเชื่อม และใน แบตเตอรี่ชนิดนิกเกิล-แคดเมียม ตัวประสานแคดเมียมในท่อน้ำและเม็ดสีแคดเมียมในเครื่องปั้นดินเผา สามารถเป็นแหล่งของการปนเปื้อนของน้ำและอาหารที่มีความเป็นกรด
ค่ามาตรฐานในสถานที่ทำงาน ACGIH TLV – TWA 0.01 mg/m3 |||| NIOSH REL – Ca ||||| OSHA PEL – TWA 0.00 5 mg/m3 |||| IDLH – 9 mg/m3 || กฎหมายไทย Cadmium fume TWA - 0.1 mg/m3, Ceiling 0.3 mg/m3, Cadmium dust TWA – 0.2 mg/m3, Ceiling 0.6 mg/m3
ค่ามาตรฐานในร่างกาย ACGIH (2007) BEI – Cadmium in urine = 5 ug/g creatinine (not critical for sampling time), Cadmium in blood = 5 ug/L (not critical for sampling time)
คุณสมบัติก่อมะเร็ง IARC Group 1 ||||| ACGIH A 2 Carcinogenicity
แหล่งที่พบในธรรมชาติ พบในน้ำและดินที่มีแร่แคดเมียมอยู่
อุตสาหกรรมที่ใช้
การเชื่อมและประสานโลหะ
การชุบโลหะ
การคงรูปพลาสติก
การทำเม็ดสี
การทำแบตเตอรี่
กลไกการก่อโรค การหายใจเข้าไปก่อให้เกิดพิษอย่างน้อย 60 เท่าของการกิน ไอระเหยและฝุ่น อาจจะก่อให้เกิดภาวะปอดอักเสบ (Delayed chemical pneumonitis) และเป็นผลให้ปอดบวมน้ำและเลือดออกในปอด การกินเข้าไป ทำให้ระคายเคืองทางเดินอาหาร เมื่อมีการดูดซึมแคดเมียมจะรวมตัวกับ metallothionein และกรองผ่านไตที่ซึ่งจะเกิดการทำลายท่อไต
การเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน นำผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุ หยุดการสัมผัสสาร โดยนำผู้ป่วยมาไว้ในจุดที่ไม่มีการปนเปื้อน ผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยควรได้รับการฝึกเป็นอย่างดีและไม่ทำให้ตนเองอยู่ในความเสี่ยง ใส่เครื่องป้องกันอย่างเหมาะสม หากเป็นไปได้ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจด้วย SCBA – self contained breathing apparatus
อาการทางคลินิก
การสัมผัสโดยตรง ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังและตา ยังไม่มีข้อมูลเรื่องการดูดซึมแคดเมียมทางผิวหนังในมนุษย์
อาการการหายใจอย่างเฉียบพลัน ทำให้ไอ หายใจมีเสียงวี้ด ปวดศีรษะ มีไข้ และหากรุนแรง ทำให้ปวดอักเสบแบบ chemical pneumonitis และปวดบวมน้ำแบบ noncardiogenic ภายใน 12-24 ชม.หลังจากสัมผัสโดยการหายใจ
อาการทางการหายใจระยะยาว ในปริมาณสูงสัมพันธ์กับการก่อโรคมะเร็งปอด
อาการทางทางเดินอาหารแบบเฉียบพลัน เกลือแคดเมียมทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ อาเจียน ปวดท้องและ ถ่ายเหลว บางครั้งมีเลือดปนในไม่กี่นาทีหลังจากทานเข้าไป การตายหลังจากทานเข้าไปเกิดจากภาวะช็อกเนื่องจากขาดน้ำหรือเกิดจากไตวายเฉียบพลัน
อาการทางทางเดินอาหารระยะยาว เป็นผลให้เกิดการสะสมของแคดเมียมในกระดูกทำให้เกิดโรคอิไตอิไต (Itai-itai) และในไตทำให้เกิดโรคไตเสื่อม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ขึ้นกับประวัติการสัมผัสและอาการของผู้ป่วยในขณะนั้นทั้งอาการทางการหายใจและอาการทางทางเดินอาหาร
การตรวจจำเพาะ ระดับแคดเมียมในเลือด (whole blood cadmium) ยืนยันการสัมผัสสารค่าปกติไม่เกิน 1 ug/L แคดเมียมปริมาณน้อยมากจะถูกขับมาในปัสสาวะจนกว่าแคดเมียมที่ถูกจับ (โดยmetallothionein) ในไตจะเกินและเกิดการทำลายไตเกิดขึ้น แคดเมียมในปัสสาวะค่าปกติไม่เกิน 1 1ug/g Creatinine การตรวจวัดไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ (beta-microglobulin, retinol-binding protein, albumin, metallothionein) ใช้ในการติดตามผลจากความเป็นพิษของแคดเมียมที่ไต
การตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC), เกลือแร่ในเลือด (Electrolyte), glucose , BUN, creatinine, ค่าออกซิเจนในเลือดแดง (arterial blood gas) หรือ oximetry และการตรวจภาพรังสีปอด (CXR)
การดูแลรักษา
ปฐมพยาบาล นำผู้ป่วยออกจากจุดเกิดเหตุ ดูแลเรื่องการทำงานของระบบที่สำคัญ เช่น ระบบหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต ถ้าผู้ป่วยหมดสติควรทำให้ทางเดินหายใจเปิดโล่งและให้ออกซิเจน 100%
การสัมผัสโดยการหายใจ ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้เริ่มทำการช่วยหายใจด้วยการเป่าปากทันที ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้ pocket mask ที่มี one way valve เพราะทางเดินหายใจและหน้าของผู้ช่วยเหลืออาจปนเปื้อนได้
การสัมผัสทางผิวหนัง ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนออก ถ้าเป็นไปได้ให้ทำขณะที่มีน้ำล้างอยู่ด้วยแล้วนำเสื้อผ้าเก็บไว้ในถุงใสปิดสนิทสองชั้นและเขียนป้ายกำกับไว้ เก็บไว้ในที่ปลอดภัยที่ห่างจากผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ ล้างผิวหนังด้วยน้ำปริมาณมากโดยให้น้ำไหลผ่านไป
การสัมผัสทางตา ล้างตาด้วยน้ำเกลือ (normal saline solution) อย่างน้อยเป็นเวลา 15 นาที
การสัมผัสทางการกิน ให้ผู้ป่วยรับประทานน้ำ (ปริมาณไม่เกิน 50 - 100 มิลลิลิตร)
การเฝ้าระวัง
สื่อสารความเสี่ยงให้ประชาชนเข้าใจ
การตรวจระดับโปรตีนในปัสสาวะ (beta-globulin) เป็นการตรวจที่ไวที่สุดของการเฝ้าระวังพิษจากแคดเมียม
มูลนิธิสัมมาอาชีวะ พ.ศ. 2554 ไม่สงวนลิขสิทธิ์