ค่ำคืนที่แสนเจ็บปวดที่

967 28 May 2014

กองกำลังติดอาวุธ จำนวน 400 คน บุกจับชาวบ้าน กลุ่มตนรักษ์บ้านเกิด บ้าน นาหนองบง อ.วังสะพุง จ.เลย ในลักษณะจับถอดเสื้อผ้า มัดมือ มัดเท้า และบังคับให้นอนคว่ำหน้าก่อนจะถูกซ้อมอย่างป่าเถื่อน โดยไม่มีการเลือกกระทำยกเว้นเด็ก และผู้ชราแต่อย่างใด หนำซ้ำทรัพย์สินเงินทองของชาวบ้านก็หายไปด้วยเช่น กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด ไม่ได้ปกป้องผืนป่า แร่ทองคำเพื่อหวังผลประโยชน์ที่ตีค่าเป็นเงิน แต่พวกเขาปกป้องสมบัติของประเทศชาติหวังเพียงให้ลูกหลานในรุ่นต่อๆมาได้มีทรัพยากรไปสานต่อทำมาหากิน อย่างไรก็ดี ยังมีนักการเมือง อิทธิพลเถื่อน ข้าราชการนอกรีตผู้ซึ่งใคร่กระหายสมบัติเหล่านี้มาเป็นของตนเองอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา และเห็นดีกับการแย่งชิงอย่างผิดกฏหมายเพียงขอให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ การเข้าเวรยามของชาวบ้านจะแบ่งเป็น 3 จุด โดยจุดหลักๆจะมี 2 จุด คือเส้นทางที่ตัดผ่านกลางหมู่บ้านและเป็นเส้นทางที่ใกล้เหมืองทองของ บ.ทุ่งคำ มากที่สุดซึ่งชาวบ้านเรียกว่า จุดเฝ้าระวัง ว.1 และ จุดเฝ้าระวัง ว.2 ชาวบ้านกลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวรยามกันตลอด การบุกมาของกองกำลังติดอาวุธครั้งนี้ส่อให้เห็นถึงการเตรียมการณ์มาแล้วอย่างแยบยล เงียบ รวดเร็ว เฉียบขาด มีการวางกำลังเป็นจุดๆ ถ้าเป็นภาษาทหารมักจะเรียกกันว่า “มาร์คจุด” โดยต้องมีความรอบรู้เรื่องในพื้นที่เป็นอย่างดี ต้องรู้ว่าบ้านแกนนำอยู่ตรงไหน ต้องรู้ว่าชาวบ้านจะผลัดยามกันเมื่อไร และเลือกเวลาที่จะลงมือในเวลา 25.00น.ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวบ้านส่วนใหญ่หลับและไม่ทันระวังตัว กองกำลังติดอาวุธกลุ่มนี้คาดว่าถูกฝึกมาอย่างดี ไม่เช่นนั้น คงไม่สามารถปฏิบัติภาระกิจได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาดได้ถึงเพียงนี้ ปฏิบัติการแรกได้วางแผนให้ขบวนรถหลายคันวิ่งผ่านหมู่บ้านก่อน เพื่อให้เป็นจุดสนใจชาวบ้านเบี่ยงเบนไปที่รถเหล่านั้นซึ่งมีกองกำลังบางส่วนคอยสั่งงานการปฏิบัติภารกิจอีกที แต่กองกำลังจริงๆได้ฝังตัวลงในพื้นที่แล้วหรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า แผนการปฎิบัติการปูพรม และข้อที่สำคัญที่สุด คือต้องบุกตอนชาวบ้านยังไม่ได้ตั้งตัว การปฏิบัติการรูปแบบนี้ จะถูกเรียกว่า การปฏิบัติการแบบกองโจร คนเพียงไม่กี่คนสามารถปิดทั้งหมู่บ้านได้ มีการวางแผนแบ่งกองกำลังเป็น 5 จุด คือ 1. จุดเฝ้าระวัง ว.1 2. คือ จุดเฝ้าระวัง ว.2 3. คือ จุดเฝ้าระวัง ว.3 4. บ้านแกนนำชาวบ้าน 5. ทางเข้าออก เมื่อปฏิบัติการปูพรมชาวบ้านเรียบร้อยแล้วจัดการกับชาวบ้านเรียบร้อยแล้วจึงมีการสั่งการให้ขนแร่ออกมาได้ การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นไปได้ 90 % อีก 10% คือชาวบ้านหนีรอดไปได้และได้ไปบอกประกาศให้คนในหมู่บ้านมาช่วยทำให้การขนแร่ทองแดงสามารถขนไปได้เพียง 476 ตัน จากจำนวนทองแดงทั้งหมด 1,200 ตัน มูลค่า 300ล้านบาท มีผู้บาดเจ็บ 7 คนที่อาการหนักถึงขั้นปัสวะเป็นเลือด ถูกนำส่งโรงพยาบาล และบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ต่ำกว่า 20 คน จากนี้ยังมีข้อสงสัยอีกหลายเรื่อง นับตั้งแต่การแต่งตัวของกองกำลังติดอาวุธ โดยกลุ่มที่ถูกจ้างมาดังกล่าวจะอยู่ในชุดหลากสี และพวกแนวหน้าจะสวมรองเท้าธรรมดาผ้าใบทั่วไป แถวที่สองจะสวมชุดสีดำ สวมรองเท้าคอมแบตและเป็นผู้ลงมืออย่างป่าเถื่อนซึ่งจะยืนอยู่ข้างหลังเฝ้าดูสถานการณ์ ด้านอาวุธปืนก็นับเป็นชนวนสำคัญไม่ยิ่งหน่อยไปกว่ากัน เมื่อมีการพบลูกปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ในพื้นที่ ส่วนทางด้านสวมลำกล้องนั้น ก็ยังวิเคราะห์ได้ในอีกสองกรณี กล่าวคือ กรณีแรกมีไว้เก็บเสียง กรณีที่สองมีไว้ในยามฉุกเฉิน ซึ่งถ้ามีหากการปะทะกันจริงจนก่อให้เกิดผู้เสียชีวิต กลุ่มกองกำลังดังกล่าวก็สามารถเปลี่ยนลำกล้องทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานได้ในทันที แม้จะมีเขม่าดินปืนติดบ้างก็ตาม โดยลักษณะการประกอบอาวุธแบบนี้จะเป็นที่แพร่หลายมากในแถบจังหวัดลพบุรี เมื่อก่อนนี้ มีการใช้อาวุธสงคราม M 16 A4 ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาเป็น ทราวโว่ ซึ่งมีเลเซอร์ติดมาด้วย ทำให้มีอานุภาพแรงและแม่นยำมาก จากข้อเท็จจริงของกองกำลังนี้ที่ชำนาญในเรื่องของอาวุธ จึงได้มีการนำ M 16 A4 มาดัดแปลงติดลำกล้องให้มีการยิงในวิถีที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น ต่อมาจึงพัฒนากันมาเป็นอาวุธปืนสั้นเพราะพกพาง่ายและอานุภาพการยิงยังหวังผลได้อยู่ แต่ที่น่าสะท้อนใจคือเหตุใดทั้งจังหวัดเลย ถึงไม่มีผู้ใดยอมเข้ามารับรู้เรื่องราวนี้เลย ในชั่วโมงที่คนจำนวน 400 คนพร้อมอาวุธได้บุกเข้าหมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอหรือแม้แต่ตำรวจ มัวไปทำอะไรอยู่? หรืออาจจะต้องยอมรับแต่โดยดีว่าอำนาจอิทธิพลมืดที่แอบแฝงมานั้น สามารถไปปิดกั้นความตระหนักรู้ในหน้าที่ของตนของราชการเหล่านี้ได้อย่างราบคาบ อย่างนั้นใช่หรือไม่ จึงเป็นที่คาดเดาไว้แล้วว่าเร็วๆนี้คงจะมีการลอบบุกเข้ามาอีกเป็นแน่ เนื่องจากทองแดงจำนวนหลายตันมูลค่าหลายล้านบาทยังเหลือค้างอยู่ที่ บ.ทุ่งคำ ดังนั้น การใช้ความรุนแรงอย่าง้ไร้ซึ่งเหตุผลของกองกำลังติดอาวุธเป็นการคิดที่ผิดพลาดอย่างรุนแรง อาจจะเกิดจากความไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะจนไม่อาจตระตรองให้ดีว่า การกระทำดังกล่าวจะยิ่งเป็นการยั่วยุให้ชาวบ้านตาดำๆที่เคยต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนมาเงียบๆตลอด กำลัจะถูกสื่อทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงองค์กรมนุษยชนต่างๆเข้ามาให้ความสนใจ และช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง อันเป็นภัยแก่ตัวกองกำลังเองแน่นอน รัฐบาลได้เงินเพียงน้อยนิดจากการสัมปทาน ยังไม่คุ้มกับการแลกป่าทั้งป่า และชีวิตอีกหลายร้อยชีวิตที่ต้องมาทนรับกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ คนที่ทำลายแผ่นดินเกิดของตนเองและได้จะต่างอะไรกับสัมภเวสีมาขอส่วนบุญ วีนัส อยู่ดี ถ่ายภาพ พิษณุพร ขันพรมมา รายงาน

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม