3550 30 Oct 2012
การทำเหมืองที่ทำให้เกิดมลพิษทางเสียง ฝุ่น และน้ำปนเปื้อนสารพิษ โดย ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน (www.thaisgwa.com) คำพิพากษาศาลปกครองจังหวัดพิษณุโลกที่ให้เพิกถอนประทานบัตรเหมืองทองคำของบริษัทอัคราไมนิ่งฯ ดูเหมือนกลุ่มทุนคือผู้แพ้คดีแต่แท้จริงกลับเป็นผู้ชนะเพราะคำสั่งเพิกถอนจะมีผลก็ต่อเมื่อบริษัทไม่จัดทำรายงานอีไอเอให้แล้วเสร็จและไม่ได้รับความเห็นชอบภายในหนึ่งปี ชาวบ้านต่างหากคือผู้แพ้ ต้องทนกับฝุ่นฟุ้งกระจาย เสียงระเบิดหินทั้งวันทั้งคืน และน้ำปนเปื้อนสารพิษ เจ็บป่วยระนาวโดยไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง สืบเนื่องจากเมื่อ วันที่ 27 มี.ค.55 ที่ผ่านมาตุลาการศาลปกครองจังหวัดพิษณุโลกออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีดำเลขที่ 228/2553 คดีแดงเลขที่ 163/2555 ระหว่าง น.ส.สื่อกัญญา ธีระชาติดำรง ผู้ฟ้องชาวบ้านในตำบลเขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร และจำเลยร่วม 5 คน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ คณะกรรมการเหมืองแร่ อธิบดีกรมป่าไม้ และองค์การบริหารส่วนตำบลเขาเจ็ดลูก ซึ่งชาวบ้านฟ้องมาเมื่อปลายปี 2553 โดยมีบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด เป็นผู้ร้องสอด การฟ้องคดีดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประทานบัตรของบริษัทฯผู้ประกอบการเป็นจำนวน 5 แปลงในพื้นที่ภูเขาหม้อแหล่งหาอยู่หากินของชาวบ้านเพราะถือว่าเป็นป่าชุมชน แต่เนื่องจากประทานบัตรที่หน่วยงานรัฐร่วมกันออกให้นั้นชาวบ้านฟ้องว่าอนุญาตออกมาโดยมิชอบ เพิกถอนใบอนุญาตของกรมป่าไม้ที่อนุญาตให้บริษัทฯ เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าเพื่อทำเหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่เงิน และเพิกถอนมติสภา อบต.เขาเจ็ดลูก ลงวันที่ 3 มิ.ย.48 อีกทั้งได้มีการยื่นขอคุ้มครองชั่วคราวให้ศาลสั่งระงับการดำเนินการใดๆ ในเขตพื้นที่ประทานบัตรทั้ง 5 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายเป็นการชั่วคราวก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา กรณีปัญหาเกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัทฯดังกล่าวที่ดำเนินการอยู่ในบริเวณใกล้เคียงชุมชน ทำให้ชาวบ้าน ต.เขาเจ็ดลูก ได้รับผลกระทบต่อเนื่องมานานกว่า 2 ปี ทั้งเสียงดัง มีฝุ่นฟุ้งกระจายจากการระเบิดหินอย่างต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืน น้ำดื่มน้ำใช้น้ำใต้ดินไม่สามารถใช้น้ำสาธารณะได้ดังเดิมเพราะมีสารโลหะหนักเจือปน เช่น สารหนู สารปรอท และไซยาไนด์ และชาวบ้านมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคผิวหนัง ชาวบ้านพยายามร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดพิจิตรและส่วนกลางให้เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหา แต่ก็ไม่สามารถจัดการปัญหาใด ๆ ได้ ชาวบ้านทนไม่ไหวจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 10 พ.ย.53 เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีนี้สู้กันในศาลมาปีกว่า ๆ ตุลาการเจ้าของสำนวนจึงได้นัดอ่านคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ถอนประทานบัตรทั้ง 5 แปลง โดยให้การเพิกถอนมีผลในวันที่ผู้ร้องสอดไม่จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเหมืองแร่ทองคำให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพ (EHIA) ลงวันที่ 29 ธ.ค.52 ให้เสร็จสมบูรณ์ภายในกำหนด 1 ปี หรือเมื่อรายงานนั้นไม่ได้รับความเห็นชอบ ทั้งนี้นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คำขออื่นให้ยก ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.55 ที่ผ่านมา ศาลปกครองพิษณุโลกได้นัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก โดยตุลาการผู้แถลงคดีได้มีความเห็นว่าแปลงประทานบัตรจำนวน 4 แปลง ควรให้บริษัทฯผู้ร้องสอด ไปดำเนินการทำ EHIA ภายใน 1 ปี ให้เรียบร้อยก่อน เพราะถือว่าเหมืองแร่ทองคำเป็นโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงตามมาตรา 67 กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ถ้าภายใน 1 ปี ถ้าบริษัทผู้ร้องสอดไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จก็ให้เพิกถอนประทานบัตรทั้ง 4 แปลง แต่แปลงบนเขาหม้ออีก 1 แปลงนั้น ไม่ควรเพิกถอนเพราะจะมีผลกระทบกับบริษัทที่ได้ลงทุนทำไปแล้วและไปกระทบกับค่าภาคหลวงแร่ที่บริษัทได้จ่ายให้กับรัฐไปแล้ว ดูแนวคิดของตุลาการผู้แถลงคดีในศาลนี้ดูสิว่าแนวคิดนี้ยึดหลักกฎหมายหรือยึดอะไรเป็นหลัก พิเคราะห์ดูจากคำพิพากษาดังกล่าว ดูเหมือนชาวบ้านจะชนะคดี แต่จริง ๆ แล้วชาวบ้านแพ้คดีต่างหาก เพราะการที่ศาลจะให้เพิกถอนประทานบัตรตามคำขอท้ายฟ้องได้ ก็ต่อเมื่อบริษัทฯดังกล่าวไม่จัดทำรายงาน EHIA ให้แล้วเสร็จและไม่ได้รับความเห็นชอบภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา เพราะวันนี้บริษัทคู่พิพาทยังสามารถเปิดดำเนินกิจการในพื้นที่ได้ต่อไป ยังสามารถสร้างความเดือดร้อนและเสียหายให้กับชาวบ้านและสิ่งแวดล้อมได้ต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกว่าจะครบกำหนดเวลา 1 ปีบริษัทอาจจะเร่งขุดเจาะทำเหมืองจนหมดพื้นที่ทำเหมืองก่อนแล้วก็ได้ หรือถ้าไม่หมดก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวจะมีประโยชน์อันใดต่อการการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชาวบ้านดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน ที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามความเหมาะสม ตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 67 บัญญัติไว้ คำพิพากษาดังกล่าวหากเทียบเคียงกับคำพิพากษาคดีมาบตาพุด ที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชาวบ้าน 43 คนฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อปี 2552 แล้วค่อนข้างจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะเป็นกรณีที่ใกล้เคียงกันและเป็นข้อกฎหมายเดียวกัน คือการขอให้ศาลบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรคสอง โดยทันทีนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้บังคับ ซึ่งศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุดก็เห็นพ้องด้วย จึงมีคำสั่งและคำพิพากษาไปตามคำขอท้ายฟ้อง ที่สำคัญคือ การสั่งให้ผู้ประกอบการจัดทำรายงาน EHIA ให้แล้วเสร็จโดยไม่กำหนดระยะเวลาและต้องได้รับความเห็นชอบแล้วเสียก่อน จึงจะสามารถประกอบกิจการต่อไปได้ ในขณะที่คดีเหมืองทองพิจิตร ศาลสั่งให้ผู้ประกอบการจัดทำ EHIA ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่ยังสามารถประกอบกิจการต่อไปได้ นี่คือความแตกต่างและมุมมองขององค์คณะตุลาการของศาลปกครองกลาง และศาลปกครองพิษณุโลก ที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียงกันแต่ใช้กฎหมายมาตราเดียวกัน เราคงไม่อาจตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์การใช้ดุลยพินิจขององค์คณะตุลากาแต่ละองค์คณะได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละองค์คณะ แต่บริบทของสังคมนั้นเราต้องสร้างบรรทัดฐานและความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นจากคำพิพากษาของศาลให้จงได้ เพราะสังคมยังเชื่อมั่นว่าอำนาจตุลาการศาลที่เป็นดุลอำนาจ 1 ใน 3 ของระบบการปกครองของไทย จะยังสามารถฝากผีฝากไข้ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและให้การคุ้มครองวิถีชีวิตและปกปักรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของแผ่นดินได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ผ่านคำพิพากษาได้ แต่หากศาลมองแต่ประโยชน์ของผู้ประกอบการ ทุนนิยม ประโยชน์ทางธุรกิจ ทางเศรษฐกิจ เป็นตัวตั้ง กลัวผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบ ต้องคอยประคบประหงมเอาไว้ ส่วนชาวบ้านตัวน้อย ๆ ที่ไม่มีปากมีเสียง จะตาย เสียหาย หรือฉิบหายอย่างไร ก็ชั่งมัน ความขัดแย้งในสังคมไทยก็ไม่มีวันสิ้นสุดหรือลดลงมาได้ สำหรับคดีเหมืองทองที่พิจิตรนั้น ในความคิดเห็นของชาวบ้าน เห็นว่าควรให้เพิกถอนประทานบัตรและให้ยุติการทำเหมืองในแปลงประทานบัตรทั้งหมดไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว น่าจะถูกต้องกว่า เพื่อหยุดยังผลกระทบที่เกิดกับชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2550 คดีนี้ผู้ฟ้องคดียังสามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษา และเมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาออกมาเมื่อใด คงจะได้ใช้เป็นบรรทัดฐานของสังคมไทยได้ว่า ระหว่างสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคมที่มีจำนวนมาก กับผู้ใช้อำนาจทางปกครอง และผู้ประกอบการทุนนิยมอุตสาหกรรม หรืออุตสาหกรรมข้ามชาติ ศาลปกครองของไทย จะมีจุดยืนหรือสร้างบรรทัดฐานไว้ให้กับสังคมไทยได้อย่างไร และเป็นไปในทิศทางใด...คงไม่นานเกินรอ ที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=955000004339605 Nov 2024
09 Oct 2024
09 Oct 2024
20 Sep 2024
05 Nov 2024
05 Nov 2024
05 Nov 2024
05 Nov 2024
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม