ความเลวระยำ ของมหา’ลัย

1477 17 Jul 2012

อ่านข่าวที่คัดมาลง ( จาก http://www.facebook.com/photo.php?fbid=443674685652943&set=a.44367456898... )    แล้ว  เกิดความนึกคิดรวบยอดเห็นโลกอีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัยไทย โดยเฉพาะในยุคตลาดใบปริญญากำลังเติบโตเป็นอุตสาหกรรมปริญญา ซึ่งทำเงินหมุนเวียนทั้งระบบหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ทำให้ทุกมหาวิทยาลัยขยายโครงสร้างพื้นฐาน ที่หรูหรา มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ มีโปรดักส์ใหม่ๆ หลักสูตรเด่นๆ ออกมาทำตลาดสร้างยอดขายตลอด อาจารย์ที่ทำตลาดวิชาให้เด็กฮิตติดใจแย่งลงทะเบียนไม่ได้จะถูกผู้บริหารเพ่ง เล็งและตัดโบนัส เด็กนักศึกษาจึงเป็นลูกค้าที่เรียนสนุกลุกสบาย แต่ถ้าไม่จ่ายไล่ออก ไม่ฉลาดไล่ออก ไม่ฟังไล่ออก… ดังหน่อย หรูหน่อยก็ขูดรีดหน่อย กระจอกและต่ำต้อยหน่อยก็กินน้อยลง ในขณะที่โลกอีกด้านคือ ที่ดิน ที่นา ที่ป่าสาธารณะถูกยึด คนจน ชาวบ้านที่เคยหาอยู่หากิน พึ่งพาป่าพึ่งพาทุ่งนา หนองน้ำล้วนลำบากไปตามๆ กัน จากชุมชนเงียบๆ เรียบง่ายกลายเป็นเมือง มีแต่คนแปลกหน้า มีแต่เสียงคนหนุ่มสาวระรี้ระริกรื่นเริงตลอด 24 ชม. ร้านเหล้า ผับดังทั้งคืน  ร้านเสื้อผ้าความงาม และสถานบันเทิง ผุดขึ้นราวดอกเห็ด แต่เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งเลยขอบกำแพงมหาวิทยาลัยออกไป พ่อแม่ชาวนาค่อยๆ มีหนี้พวกพูน สุขภาพทรุดโทรมเพราะทำงานหนัก บางคนนาถูกยึดไร่ต้องขาย วัวควายต้องขาย และแล้วความเครียดก็รุมเร้า ฯลฯ

ถามว่าผมคิดยังไงกับมหาวิทยาลัยไทย คิดหลายด้าน ครับ ”  โดยเฉพาะด้านแย่ๆ  ถ้าเอาสั้นๆ คือ “เลว-ระยำ ถ้าจะให้จำแนกก็คิดได้อีกหลายข้อ คือ หนึ่ง ) มหาวิทยาลัย คือโจทก์ขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ดิน เพื่อยึดเอาที่ดิน ที่สาธารณะของชุมชน ที่นา ที่ป่า ดังนั้น มหาวิทยาลัยแห่งไหนมีที่ดินมากที่สุด มหาวิทยาลัยแห่งนั้นก็เลวที่สุด เพราะบางพื้นที่อยู่ในทุ่งนา ในชุมชน แต่มีเนื้อที่หลายพันไร่ หรืออาจจะหลายหมื่นไร่ !!!! สอง ) เหยียบย่ำศักดิ์ศรีมนุษย์ และวิถีคนท้องถิ่น เรื่องนี้หากใครเคยผ่านพื้นที่ก่อนก่อสร้างมหาลัยหรือชุมชนก่อนก่อตั้ง มหาวิทยาลัย กับมาดูหลังก่อตั้งมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะ มหาวิทยาลัย รุ่น ม.นอกระบบ จะพบเห็นความเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง อาทิ การหายไปของชาวบ้านของชุมชน ที่ทำกิน วัฒนธรรมจริยธรรมและเห็นการเข้ามาของเมือง สถานบันเทิง ค่าครองชีพ ความเสื่อมและส่ำส่อนทุกประเภท สาม ) เปลี่ยนรากเหง้า เพราะมหาวิทยาลัยทำการปลูกฝังลูกหลานคนท้องถิ่นให้หลงลืมรากเหง้าตนเอง โดยการสอนให้เชื่อ ให้มุ่งมั่นทะเยอทะยานและดิ้นรนออกไปไขว่คว้าวัตถุนิยม  ให้กระตือรือร้นกับชีวิตแบบใหม่ในสังคมแก่งแย่ง แต่ไม่ให้รู้สึกภูมิใจ อยากกลับไปสืบทอดวิถีที่พ่อแม่ทำนา ทำสวน  ไม่สอนให้เห็นคุณค่าวิถีดั้งเดิม ทั้งๆ ที่พ่อแม่ทำงาน หรือรับจ้างส่งให้ลูกเรียน สุขสบายในห้องแอร์เย็นฉ่ำ สี่ ) ยิ่งอบรมยิ่งหัวอ่อน ยอมจำนน ชื่อฟังระบบ เห็นแก่ได้ ไร้ศีลธรรม ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่เอาธุระคนอื่น ไม่สนใจส่วนรวม และมัวเมาในกิเลส ในกาม จึงเติบโตอย่างคนที่ไม่มีค่าอะไรชุมชน ต่อคนอื่น หรือมีบาง มหาวิทยาลัยละเมิดสิทธิชุมชนเสียเอง อาทิ  ไล่ชาวบ้านที่อยู่เดิม ออกไปได้ (เอาไปไว้หลังมหาวิทยาลัย ) ที่ชาวบ้านยอมเพราะสัญญาว่าจะให้งานทำ ว่าจะส่งเสริมอาชีพ ว่าจะพัฒนาที่อยู่ใหม่ จะให้สิทธิ์ ให้ลูกหลานได้เรียน และอ้าง มหาวิทยาลัย สิ่งสำคัญของประเทศชาติ ทำให้ชาวบ้านเห็นคุณค่าซึ่งสุดท้ายก็ยอม  ตราบจนวันนี้ มหาวิทยาลัยที่ว่า ก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้ชีวิตชาวบ้านที่เสียสละที่ดินให้ มีชีวิตที่ดีขึ้น กลับกันลูกหลานตนเองก็ไม่มีสิทธิได้เรียน ได้ทำงาน งานที่ได้คือ ยาม แม่บ้านประจำหอ แม่บ้านล้างห้องน้ำ ฯลฯ ชีวิตชาวบ้าน  จากชาวนามาเป็นยามหรือคนล้างส้วม ที่หนักกว่านั้น หลายมหาวิทยาลัยที่ดูดายปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่อยู่รายรอบ ไม่สนใจศึกษาวิจัย สร้างงานวิชาการ สร้างแนวทางการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น ห้า ) มหาวิทยาลัยคือ โรงบ่มเพาะจิตใจคิดคด คอรัปชั่น แห่งแรก เพราะมหาวิทยาลัยคือสถานที่แรก  ที่เรียกรับ ขูดรีด เงินนักศึกษาทุกรูปแบบ โดยตัวนักศึกษาเองก็รู้เห็น ยิ่งตอนนี้ ความคิดให้การตลาดนำการศึกษาออกมา แบบขายวิชา ซึ่งก็ขายให้นักศึกษาอย่างไร้จริยธรรม เพราะตัดคะแนนให้ต่ำ ทำข้อสอบให้ง่าย เด็กๆ ชอบเรียนวิชาแบบนี้ คือเรียนง่ายจบง่าย แม้ต้องไร้ความรู้ก็ตาม   โดยเฉพาะ ม.นอกระบบ  ที่สอนให้ นศ.รู้จักเรียกรับผลประโยชน์ กับนักศึกษา ทำให้นักศึกษาคุ้นเคยแบบผิดๆ อาทิ เอาตัวแลกคะแนน  ฯลฯ   มหาวิทยาลัยปัจจุบันจึง ขัดขวาง และไม่สนับสนุน การทำกิจกรรมโดยเฉพาะทางการเมืองของนักศึกษา ทำให้นักศึกษาไม่รู้จักคิด วิเคราะห์ รวมถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีม ปัญหาพวกนี้มีทุกสถาบัน บางสถาบัน แย่ขนาดตึกกิจกรรมนักศึกษายังไม่มีให้ แต่ก็เรียกเก็บเงินนักศึกษาจุกจิก  เรียกเอาทุกอย่างที่เห็น   ในขณะที่ถ้านักศึกษาเรียกร้องสิทธิ์อันพึงมีพึงของตน ได้กลับมีการข่มขู่ จึงอยากเน้นย้ำว่า  การปฏิรูปประเทศ การพัฒนาสังคม การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ  ทำให้ตายไปกี่ชั่วอายุคนก็ไม่ดีขึ้นหาก สถาบันฝึกสอน ฝึกฝน และสร้างคน ไม่ได้สอนไม่ได้สร้างให้ ดำเนินชีวิต และอยู่รอด อย่างมีเกียรติไม่ได้  และอย่าปล่อยให้ลูกดีๆ คนหนึ่งต้องกลายมาเป็นลูกเลวๆ  เพราะชาวบ้านก็เหมือนตาสียายสา พาลูกสาวมาเรียน หวังจะให้มีความรู้ แต่ลูกๆ ใช้ชีวิตแย่กว่าโสเภณี  แถมรังเกียจโคลนตมตามไร่นาของแม่ หยุดคิดสักนิด…เถอะ หยุดมาร่วมคิด ร่วมกำหนดทิศทาง มหาวิทยาลัยไทย…. ครับ

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม