69 02 Dec 2025

มหาอุทกภัยจะนะรอบ 100 ปี “กระทบกับคนทั้งอำเภอ” บทเรียนราคาแพงจาก "พื้นที่รับน้ำ" ที่ถูกถมทิ้ง
ทำไมชาวบ้านจะนะจึงคัดค้านโครงการขนาดใหญ่ตั้งแต่ปี 40
ลองทบทวนบทเรียนน้ำท่วมจะนะที่หนักขึ้นทุกปี
มิได้บอกว่าน้ำจะไม่ท่วม แค่มันจะลดความสูญเสียมากกว่านี้โดยเฉพาะชาวบ้านคนตัวเล็กตัวน้อย
จะนะ ควน ป่า นา เล
"ความเสียหายได้ประจักษ์ขึ้นแล้วในแผ่นดิน (บก) และในทะเล เนื่องด้วยสิ่งที่มือของมนุษย์ได้กระทำไว้ เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสผลบางอย่างที่พวกเขาได้กระทำไว้ หวังว่าพวกเขาจะกลับเนื้อกลับตัว" ซูเราะห์อัรโรม
#เมื่อความจริงปรากฏความเท็จก็มลาย
#ดังนั้นท่านก็ต้องเลือกระหว่างการพัฒนาอย่างปัจจุบันกับการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
มหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ที่โหมกระหน่ำอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ในช่วงปลายปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่เป็น สัญญาณเตือน ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือมนุษย์ โดยเฉพาะการรุกล้ำและทำลาย พื้นที่รับน้ำ ในอดีตเพื่อแลกกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ก่อให้เกิดป่าคอนกรีต ซึ่งไร้ความสามารถในการรองรับน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะโลกร้อน
วิกฤตครั้งนี้ทำให้ความสูญเสียทวีความรุนแรงในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน ก็ท่วม ที่ท่วมปีที่แล้วก็หนักกว่าเดิม ทั้งยังตอกย้ำถึง ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวิกฤต ที่ทิ้งให้ชุมชนจะนะต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างโดดเดี่ยวโดยเฉพาะชาวบ้าน คนตัวเล็กตัวน้อย
1. วิกฤตจากป่าคอนกรีต เมื่อแก้มลิงธรรมชาติหายไป ความรุนแรงของน้ำท่วมในจะนะคือผลลัพธ์โดยตรงของการทำลายสมดุลทางน้ำ ที่เคยทำหน้าที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติในอดีต
การพัฒนาโครงสร้าง (ป่าคอนกรีต) พื้นที่รับน้ำในอดีต (แก้มลิง) ผลกระทบต่ออุทกภัย
* โรงไฟฟ้าจะนะ และ โรงแยกแก๊ส TTM (ต. คลองเปียะ/ป่าชิง) เป็นแหล่งรับน้ำ จากพื้นที่ตอนในก่อนลงสู่คลองนาทับ (ตามทัศนะของคนท้องถิ่น) การถมที่สูงขนาดใหญ่ทำให้พื้นที่ซับน้ำหายไป ขวางทางน้ำธรรมชาติ และเร่งให้มวลน้ำหลากเข้าท่วมพื้นที่อื่นแทน
* ห้าง/ค้าปลีกขนาดใหญ่ ที่ลุ่มต่ำ/ทางน้ำไหลผ่านในเขตเศรษฐกิจ การถมที่เพื่อสร้างพื้นที่อาคารและลานจอดรถขนาดใหญ่ ทำให้เกิด น้ำหลาก (Surface Runoff) ปริมาณมหาศาล และขวางทางน้ำตามแนวถนน
* ถนนสี่เลน (ทางหลวง 43 และ 4085) ตัดผ่าน ที่ลุ่ม, นา, ป่า, ควน (เนิน) และทางน้ำสายรอง แนวถนนคอนกรีตทำหน้าที่เหมือน กำแพงกั้นน้ำ ที่ขวางการไหลออกของน้ำ ทำให้เกิดการสะสมและท่วมขังอย่างรวดเร็วและยาวนาน
นายแพทย์โส๊ะ หมันหลี แห่งควนหัวช้าง ได้ชี้ให้เห็นถึงภูมิปัญญาดั้งเดิม “คนสมัยก่อนเตรียมตัวรับมือน้ำท่วมตลอดเวลา บ้านยกสูง ไม่ถมดินสร้างบ้าน...คนแต่ก่อนปลูกมันเดือน 6 ไว้กินช่วงน้ำท่วม” ซึ่งเป็นวิถีอยู่ร่วมกับน้ำ ที่ถูกทำลายไปโดยการพัฒนาที่เน้นการถมที่ เพื่อรองรับความเจริญ
> นี่ไม่นับรวมการถมที่ของโรงงานเล็กๆ บ้านเรือน
2. ความสูญเสียในมิติอื่น การศึกษาและเศรษฐกิจท้องถิ่น อุทกภัยครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะในภาคส่วนที่สำคัญต่ออัตลักษณ์ของจะนะ
* สถานศึกษาที่ไม่เคยท่วมต้องจมบาดาล เช่น โรงเรียนดีนูลอิสลาม (ปอเนาะครูดีนทางควาย) โรงเรียนตัสดีกียะห์ ของบาบอเสะ ในขณะที่โรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ (ปอเนาะโคกยาง) ซึ่งปีนี้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่าปีที่แล้วต้องเผชิญกับน้ำท่วมขังนานหลายวัน ระบบการศึกษาได้รับความเสียหายหนัก สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางน้ำที่ถูกรบกวน โดยมีการเรียกร้องให้ กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเท่าเทียมในการเยียวยาแก่ทุกโรงเรียน นอกจากนี้ก็ยังมีอีกกว่า 20โรงเรียน เช่น โรงเรียนรุ่งโรจน์วิทยา แสงธรรมวิทยา ทรัพย์ธานีวิทยา เร๊าะห์มานียะห์ อีกสถาบันการศึกษาศาสนาไม่ต่ำกว่า 60 สถาบัน ถ้าบวกกับศูนย์อบรมจริยธรรมประจำมัสยิด นี่ไม่นับรวมโรงเรียนของรัฐไม่ต่ำกว่า 50 โรงเรียน (จะนะถือขนานนามว่า เมืองการศึกษาอิสลาม)
* วิกฤต "เมืองนกเขาชวาอาเซียน” ความเสียหายต่อวงการนกเขาชวา ซึ่งเป็นเศรษฐกิจและสัญลักษณ์สำคัญของจะนะ นายสมเดช ดินอะ (หะยีเดช) รายงานการสูญเสียนกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์กว่า 105 ตัว มูลค่า นับล้านบาท และคาดว่าความเสียหายรวมทั้งอำเภออาจสูงถึง หลักพันตัว การตายของนกเขาชวาที่มีปีกแต่ไม่อาจหนีน้ำได้เพราะความตื่นตระหนก ถือเป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจและจิตใจครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของคนจะนะ
3. เสียงคัดค้านที่ถูกมองข้าม บทเรียนตั้งแต่ปี 2540 วิกฤตครั้งนี้มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นผลที่ตามมาจากความกังวลของชาวบ้านที่ต่อสู้คัดค้านโครงการขนาดใหญ่มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ ปี 2540
* การคัดค้านโครงการขนาดใหญ่: ชาวบ้านจะนะต่อสู้คัดค้านโครงการต่างๆ เช่น ท่อแก๊ส (ก่อนปี 40), โรงไฟฟ้าจะนะ (ปี 51), โรงไฟฟ้าชีวมวล (ปี 59) และ นิคมอุตสาหกรรมจะนะ (ปี 62) โดยมีเหตุผลหลักคือ "ความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก" เนื่องจากการถมที่ในพื้นที่ลุ่มรับน้ำ และผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิม
* ผลกระทบทางจิตใจและศาสนา ชาวบ้านส่วนหนึ่งมองว่าการทำลายพื้นที่เป็นการทำลายหลักการทางศาสนา และการรุกล้ำ ที่ดินวะกัฟ (ที่ดินบริจาคเพื่อศาสนา) ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจชาวมุสลิมในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง
ชาวบ้านจะนะคาดการณ์ว่าโครงการขนาดใหญ่เหล่านี้จะนำมาซึ่งความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม น้ำเสีย การขาดแคลนน้ำ และที่สำคัญที่สุดคือ ปัญหาน้ำท่วม ซึ่ง ความจริงได้ประจักษ์ขึ้นแล้ว ในวันนี้
4. วิกฤตการบริหารจัดการ ความเหลื่อมล้ำในการช่วยเหลือ
สถานการณ์น้ำท่วมยังเผยให้เห็นถึง "วิกฤตฝีมือมนุษย์" ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะในประเด็น ความไม่เป็นธรรมในการกระจายความช่วยเหลือ
* ความช่วยเหลือที่จำกัด ในขณะที่ความสนใจมุ่งไปที่ อ.หาดใหญ่ ทำให้ อ.จะนะ ได้รับความช่วยเหลือจากภาคส่วนต่าง ๆ น้อยมาก ทำให้หลายชุมชนต้องอาศัยการช่วยเหลือจาก เครือข่ายภาคประชาสังคม และการ พึ่งพาตนเอง.
* รัฐล้มเหลว บาบอฮุสณี บินกหยีควเนาะ สะท้อนอย่างเผ็ดร้อนถึง "ระดับกึ๋นปัญญาของคนของรัฐ" ทุกระดับที่ขาดความพร้อมในการบริหารจัดการวิกฤตอย่างมืออาชีพ จนทำให้ "วิกฤตธรรมชาติกลายเป็นวิกฤตฝีมือมนุษย์โดยไม่จำเป็น"
การเลือกระหว่าง "ปัจจุบัน" กับ "ความยั่งยืน"
มหาอุทกภัยจะนะรอบ 100 ปี คือสัญญาณที่บอกว่า ถึงเวลาที่ต้องทบทวนรูปแบบการพัฒนาอย่างจริงจัง ดังที่คัมภีร์ได้กล่าวไว้
“ความเสียหายได้ประจักษ์ขึ้นแล้วในแผ่นดินและในทะเล เนื่องด้วยสิ่งที่มือของมนุษย์ได้กระทำไว้” (ซูเราะห์ อัรโรม : 41)
ทางออก คือการเลือก การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการ ปกป้องความเป็นชุมชนแบบวิถีธรรมชาติ และฟื้นฟูระบบนิเวศการจัดการน้ำดั้งเดิมของ จะนะ ควน ป่า นา เล เพื่อลดความสูญเสียต่อคนตัวเล็กตัวน้อยและป้องกันไม่ให้วิกฤตน้ำท่วมรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต
เรียบเรียงโดย อับดุลสุโก ดินอะ
31 Jul 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม