915 03 Nov 2025

30 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน 27 เครือข่ายจากทั่วประเทศ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกายกเลิก “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลก” หรือ MOU แร่แรร์เอิร์ธ ที่ผู้นำทั้ง 2 ประเทศลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างรุนแรง และซ้ำรอยความผิดพลาดจากโครงการเหมืองในอดีตของไทย
เครือข่ายภาคประชาชนให้เหตุผลว่า MOU ฉบับนี้อาจเป็นการเปิดทางให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุนสำรวจและทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายแร่ และสุ่มเสี่ยงต่อการทำลายระบบนิเวศที่เปราะบาง โดยเฉพาะในภาคใต้ที่เคยมีบทเรียนจากเหตุความขัดแย้งกรณีโรงงานแทนทาลัมภูเก็ตเมื่อปี 2529
แถลงการณ์ระบุว่า หากจะมี MOU ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ควรเป็นความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองในรัฐฉานของเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ที่ไหลผ่านประเทศไทย มากกว่าการส่งเสริมการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญ
ภาคประชาชนชี้ให้เห็นว่า ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ในเมียนมาได้กระทบต่อชุมชนไทยริมแม่น้ำโขงตอนล่าง ทั้งต่อชีวิต ความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสหรัฐฯ เองเคยแสดงบทบาทในการวิพากษ์โครงการเขื่อนจีนบนแม่น้ำโขง แต่กลับไม่แสดงท่าทีต่อปัญหาการทำเหมืองที่ส่งผลกระทบข้ามพรมแดนสู่ไทยในปัจจุบัน
แถลงการณ์ยังเตือนถึงบทเรียนในอดีตของรัฐบาลไทยที่เคยลงนามในสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2527 โดยให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่โปแตชครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มากประมาณ 1.5 ล้านไร่ และ สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 โดยให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในหลายอำเภอของ จ.เลย บนพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 340,615 ไร่ ซึ่งทั้ง 2 สัญญาเกินขอบเขตกฎหมายแร่ และกลายเป็นสัญญาผูกขาดที่ไม่มีวันสิ้นสุด จนนำไปสู่ความขัดแย้งและผลกระทบต่อชุมชนท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง โดย กป.อพช. เห็นว่า MOU ฉบับใหม่มีลักษณะไม่ต่างจากสัญญาเหล่านั้น
ในแถลงการณ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่สหรัฐฯ ต้องการลดการพึ่งพาแร่หายากจากจีน อาจนำมาซึ่งแรงกดดันให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะไทย กลายเป็นเส้นทางส่งผ่านแร่ จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลาว ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างรุนแรง โดย MOU ฉบับนี้อาจทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้คุ้มครองเส้นทางดังกล่าวอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในภูมิภาค
นอกจากนี้ ภาคประชาชนยังชี้ว่า สหรัฐฯ ทราบดีว่าไทยไม่ได้มีแร่หายากหรือแร่ลิเทียมในปริมาณที่คุ้มค่าต่อการลงทุนจริง โดยอ้างกรณีข่าวรัฐบาลไทยเมื่อต้นปี 2567 ที่ประกาศว่าไทยมีแหล่งลิเทียมอันดับ 3 ของโลก ทั้งที่ตัวเลขดังกล่าวเป็นปริมาณแร่ในหิน มิใช่แร่บริสุทธิ์ จึงอาจสร้างความเข้าใจผิดแก่สาธารณชน
ท้ายแถลงการณ์ระบุว่า “สหรัฐฯ ควรเป็นมิตรต่อประชาชนไทยมากกว่ารัฐบาลไทย” พร้อมเตือนว่าการผลักดันนโยบายด้านแร่โดยไม่ฟังเสียงประชาชนจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาสุขภาวะ สิ่งแวดล้อม และประชาธิปไตยในประเทศ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ และรัฐบาลไทย ยกเลิกหรือเพิกถอน MOU ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
แถลงการณ์ฉบับนี้ลงนามโดยคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ รวม 27 องค์กรจากทั่วประเทศ ดังนี้
ข้อมูลและภาพข่าวจาก : ผืนดินนี้ไม่มีเหมือง - This Land No Mine
ที่เกี่ยวข้อง:
ไทยในเกมแร่แรร์เอิร์ธ โอกาสทองหรือหลุมลึกแห่งผลประโยชน์และมลพิษ?
มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) เผยภาพถ่ายดาวเทียมชี้ขยายเหมืองที่เมืองยอน รัฐฉาน เมียนมา
31 Jul 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม