15 29 Oct 2025

การจับมือระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในการพัฒนา “แร่หายาก” อาจพลิกบทบาทของประเทศไทยจากผู้ขุดขายวัตถุดิบ สู่ผู้เล่นในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก หรืออาจกลายเป็นหลุมลึกแห่งผลประโยชน์และมลพิษ หากไร้ความรอบคอบ
แร่หายาก หรือ Rare Earth Elements (REEs) วัตถุดิบเบื้องหลังสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า และอาวุธไฮเทค กำลังกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของการแย่งชิงอิทธิพลโลก ขณะที่ประเทศไทยถูกดึงเข้าสู่เกมเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์ครั้งสำคัญผ่านบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับสหรัฐฯ
แรร์เอิร์ธ ทรัพยากรยุทธศาสตร์ของศตวรรษที่ 21
แร่หายาก (Rare Earth Elements - REEs) คือกลุ่มโลหะ 17 ชนิด เช่น นีโอดิเมียม (Nd), ดิสโพรเซียม (Dy), แลนทานัม (La) และซีเรียม (Ce) วัตถุดิบสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ไปจนถึงระบบอาวุธนำวิถี
กระบวนการสกัด REEs มีความซับซ้อนสูง ต้องใช้สารเคมีเข้มข้นและทิ้งของเสียกัมมันตรังสี เช่น ทอเรียมและยูเรเนียม ทำให้หลายประเทศลังเลที่จะลงทุนด้านนี้โดยขาดมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
กล่าวได้ว่า ใครคุม “แรร์เอิร์ธ” ได้ ก็ถือกุญแจสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคเทคโนโลยี
ทำไม “ทรัมป์” ต้องจับมือไทย
ในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา รัฐบาลอเมริกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน” กับรัฐบาลไทย นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล
ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่จีน ผู้ครองห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธกว่า 80% ของโลก เริ่มจำกัดการส่งออกโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ระบุว่า จีนมีสำรองแร่แรร์เอิร์ธประมาณ 44 ล้านตัน (ราว 40% ของโลก) และสหรัฐฯ ต้องนำเข้าจากจีนถึง 70% ของความต้องการภายในประเทศ การปิดวาล์วส่งออกของจีนจึงทำให้สหรัฐฯ ต้องเร่งสร้างพันธมิตรใหม่ในเอเชีย และไทยคือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญ
ไทยอยู่ตรงไหนในสมการโลก
แม้ไทยจะมีสำรองแรร์เอิร์ธเพียง 4,500 เมตริกตัน (อันดับ 12 ของโลก) แต่กลับอยู่ในอันดับที่ 6 ของผู้ผลิตโลก ด้วยปริมาณการผลิตราว 13,000 เมตริกตันต่อปี เพราะไทยมีโรงแต่งและแปรรูปจากแร่ดิบต่างประเทศ เช่น โรงงานของ Neo Magnequench ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งผลิตวัสดุแม่เหล็กถาวรจากแร่หายากสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ NEO Performance Materials ของแคนาดา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยเฉพาะแอ่งโคราช บุรีรัมย์ สุรินทร์ และภาคตะวันออกตอนล่าง ถูกประเมินว่ามีศักยภาพเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับผลิตแม่เหล็กถาวรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและกังหันลมในอนาคต
ขณะเดียวกัน พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก็ถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงแร่แรร์เอิร์ธจากเหมืองในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งระบุว่า เมียนมาเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก แม้ไม่มีข้อมูลแร่สำรองที่เป็นทางการก็ตาม
ไทยได้อะไรจาก MOU นี้
MOU ไทย-สหรัฐฯ แม้ไม่ใช่ข้อตกลงทางกฎหมาย แต่เป็น “กรอบความร่วมมือ” ที่เปิดทางสู่การลงทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ข้อตกลงดังกล่าวเน้นการ แบ่งปันข้อมูล ความรู้ และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ระหว่างสองประเทศ ทั้งการวิเคราะห์ฐานทรัพยากร การประสานงานโครงการลำดับความสำคัญ และการสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์แร่ธาตุสำคัญในไทย โดยรวมถึงการ ถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้างขีดความสามารถ และการฝึกอบรมบุคลากร เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปและห่วงโซ่มูลค่าในประเทศ
ด้าน กลไกความร่วมมือ MOU ระบุว่าอาจรวมถึง การประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ
ข้อตกลงยังครอบคลุม แนวทางด้านกฎระเบียบที่ดี เช่น การลดขั้นตอนอนุญาตการลงทุน การประสานงานระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่น รวมถึงการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการประกวดราคาและโครงการลงทุนแก่ทั้งสองฝ่ายอย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ไทยและสหรัฐฯ จะร่วมกัน ปกป้องตลาดภายในประเทศ บนพื้นฐานของนโยบายตลาดเสรีและการค้าที่เป็นธรรม โดยจัดตั้งตลาดแร่ธาตุสำคัญที่มีมาตรฐานสูง เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ผ่านมาตรฐานสามารถซื้อขายได้อย่างโปร่งใส
รัฐบาลไทยมองว่า นี่คือโอกาสสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมต้นน้ำ สู่การผลิตมูลค่าเพิ่ม เช่น พลังงานสะอาด แบตเตอรี่ และชิปอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเมื่อไทยมีศักยภาพด้านทรัพยากรแร่หายากในหลายจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจทรัพยากรเตือนว่า หากไทยยังจำกัดบทบาทเพียงผู้ขุดขายดิบ โดยไม่ต่อยอดเทคโนโลยีในประเทศ ไทยอาจได้รับเพียงเศษเสี้ยวของผลประโยชน์ ซ้ำรอยประวัติศาสตร์การค้าดีบุกและยางพาราในอดีต ที่สร้างรายได้มหาศาลให้ต่างชาติ แต่ทิ้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไว้กับชุมชนไทย
ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนหรือกับดักเดิมก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในระยะยาวได้หรือไม่
บทเรียนจากเพื่อนบ้าน เหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา
ในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉานของเมียนมา เหมืองแร่แรร์เอิร์ธผุดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอบสนองต่อความต้องการจากโรงงานแปรรูปในจีนที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดน กิจกรรมขุดสกัดใช้สารเคมีเข้มข้นอย่างแอมโมเนียมซัลเฟตในการละลายแร่ใต้ดิน ซึ่งส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำและดินอย่างรุนแรง หลายชุมชนไม่สามารถใช้น้ำเพื่อเพาะปลูกหรืออุปโภคได้ และต้องอพยพออกจากพื้นที่ทำกินดั้งเดิม
นอกจากสารเคมีที่ใช้สกัดแร่ เช่น แอมโมเนียมซัลเฟตแล้ว รายงานของหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมยังพบการรั่วไหลของ สารหนูและโลหะหนักอื่น ๆ ลงสู่แม่น้ำกก รวก และลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการประมงในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา สะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาเหมืองแร่โดยไร้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เหมือง แต่ยังกลายเป็นปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ที่ไทยต้องรับมือด้วย
รายงานของ Global Witness และ The Irrawaddy ระบุว่า เหมืองจำนวนมากอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังติดอาวุธท้องถิ่น ไม่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมหรือแรงงานที่ชัดเจน ส่งผลให้เกิดการลักลอบค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กในบางพื้นที่ ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า หากรัฐอ่อนแอและขาดกลไกกำกับดูแล การพัฒนาเหมืองแร่หายากอาจสร้างบาดแผลทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยากจะเยียวยา
สำหรับประเทศไทย บทเรียนจากเมียนมาชี้ชัดว่า การเดินหน้าอุตสาหกรรมแร่หายากจำเป็นต้องมาพร้อมกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด กลไกการตรวจสอบอิสระ การมีส่วนร่วมของชุมชน และความโปร่งใสสูงสุดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสำรวจ พัฒนา ไปจนถึงการปิดเหมืองอย่างปลอดภัย
ทางแพร่งของไทย “โอกาสใหญ่” และ “ความเสี่ยงใหญ่”
ข้อตกลงแรร์เอิร์ธไทย-สหรัฐฯ จึงเป็นทั้ง “ใบเบิกทางสู่อนาคตใหม่” และ “หลุมลึกแห่งความเสี่ยง” ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าไทยจะเดินเกมอย่างไร ด้านหนึ่ง นี่คือโอกาสสำคัญที่ไทยสามารถใช้ MOU เป็นแรงผลักในการยกระดับอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตต้นน้ำ สู่การผลิตแม่เหล็กถาวร ชิ้นส่วนมอเตอร์ และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเปิดทางให้มหาวิทยาลัยและสตาร์ตอัพไทยพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูปสะอาด เสริมบทบาทในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับภูมิภาค
แต่อีกด้านหนึ่ง หากการขุดสำรวจและพัฒนาเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบโดยขาดกลไกควบคุมสิ่งแวดล้อมและการจัดการสารเคมีอย่างรอบคอบ เหมืองแร่หายากอาจกลายเป็น “เหมืองทองคำยุคใหม่” ที่ทิ้งรอยแผลทางสิ่งแวดล้อมไว้กับชุมชน หากสัมปทานดำเนินไปโดยขาดความโปร่งใส ไม่เปิดรับฟังเสียงของชุมชนท้องถิ่น ก็อาจเผชิญแรงต่อต้านเช่นเดียวกับกรณีเหมืองทองอัครา
ขณะเดียวกัน การเข้าร่วมพันธมิตรด้านทรัพยากรกับสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ไทยต้องรับมือกับสมการทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น โดยเฉพาะต่อจีน ซึ่งยังคงเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดและผู้ครองตลาดแร่หายากของโลกอยู่ในปัจจุบัน
MOU แรร์เอิร์ธคือจุดเริ่มต้นของเกมยุทธศาสตร์ระดับโลก ที่ไทยเพิ่งก้าวเข้าสู่กระดาน หากเดินหมากด้วยความรอบคอบ ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด และสร้างระบบแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม ไทยอาจก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแร่แรร์เอิร์ธสะอาดแห่งอาเซียนได้จริง แต่หากเลือกทางลัด เปิดเหมืองโดยไร้มาตรฐานและละเลยเสียงชุมชน ไทยอาจได้เพียง “แร่ในดิน” ที่แลกมาด้วย “ความเสื่อมโทรมของผืนแผ่นดินและสิ่งแวดล้อมไปอีกหลายชั่วอายุคน”
เพราะสุดท้ายแล้ว “แร่หายาก” ไม่ได้หายากที่จำนวนในดิน
แต่อยู่ที่ “ความรอบคอบในการจัดการ” ต่างหาก
31 Jul 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม