เครือข่ายภาคประชาชน-พีมูฟ ยื่น กมธ. หนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมป่าไม้-ที่ดิน เรียกร้องคืนสิทธิชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบนโยบายทวงคืนผืนป่า

209 09 Oct 2025

วันนี้ (9 ตุลาคม 2568) เวลา 13.00 น. ที่รัฐสภา ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนจาก 4 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติทับลาน (นครราชสีมา/ปราจีนบุรี), วนอุทยานห้วยคตและแก่นมะกรูด (อุทัยธานี), ตำบลวังทอง อำเภอวังเหนือ (ลำปาง) และอุทยานแห่งชาติไทรทอง (ชัยภูมิ) ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ได้ร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) เข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ เพื่อเสนอให้ร่างกฎหมายดังกล่าวครอบคลุมถึงการนิรโทษกรรมความผิดเกี่ยวกับป่าไม้และที่ดิน และคืนสิทธิให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐในอดีต

เครือข่ายฯ ระบุว่า นโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐตลอดทศวรรษที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อาศัยและทำกินมาก่อนประกาศเขตป่า ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากถูกดำเนินคดี สูญเสียที่ดินทำกิน และถูกจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่มาตรการชดเชยและแก้ปัญหาของภาครัฐยังไม่สามารถคืนความเป็นธรรมได้จริง

 

ขบวนการพีมูฟและเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบได้เสนอ 3 ข้อเรียกร้องหลัก ได้แก่

  1. ยืนยันผลกระทบจากนโยบายรัฐ การดำเนินงานตามนโยบายการจัดการด้านที่ดินและป่าไม้ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ยากจน กลุ่มชาติพันธุ์ และคนชายขอบได้รับความเสียหายจำนวนมาก ไม่มีความมั่นคงในที่ดินและที่อยู่อาศัย ถูกแนวเขตที่ดินของรัฐทับพื้นที่ทำกินเดิม จากผู้บุกเบิกกลายเป็นผู้บุกรุก ที่ดินของตนเอง ขณะที่ในหลายพื้นที่กลับพบว่านายทุนและผู้มีอิทธิพลถือครองที่ดินจำนวนมาก โดยเฉพาะหลังรัฐประหารปี 2557 มีคดีที่เกิดจากนโยบายทวงคืนผืนป่า กว่า 48,000 คดี
  2. ชี้นโยบายทวงคืนผืนป่าล้มเหลว เครือข่ายฯ ระบุว่า การดำเนินนโยบายดังกล่าวสะท้อนถึงความล้มเหลวในการจัดการทรัพยากรแบบรวมศูนย์ของรัฐ ที่ไม่สามารถจัดการกับกลุ่มนายทุนได้จริง แต่กลับดำเนินคดีกับผู้ยากไร้ ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากกลายเป็นเหยื่อ สูญเสียสิทธิในที่ดิน ทำให้ครอบครัวแตกแยก มีหนี้สินและถูกคุกคาม ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้ทำกินโดยสุจริตบนผืนดินของบรรพบุรุษ
  3. สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายเพื่อคืนสิทธิ เครือข่ายฯ สนับสนุนให้มีการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อคืนสิทธิและความเป็นธรรมให้ผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรยึดหลักประชาธิปไตย เคารพสิทธิชุมชน และสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการดำเนินการตามคำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และ 66/2557 ซึ่งแม้มีเจตนาคุ้มครองผู้ยากไร้ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นจริง ปัจจุบันยังมีคดีค้างอยู่กว่า 30,000 คดี และชาวบ้านจำนวนมากยังถูกห้ามเข้าใช้พื้นที่ทำกินเดิม

 

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า "ขณะนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องทำหน้าที่ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีทั้งการคืนสิทธิและการนิรโทษกรรม พร้อมกำหนดกรอบการดำเนินการที่ชัดเจนต่อกลุ่มบุคคล ประเภทความผิด และช่วงเวลาการนิรโทษกรรม เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าทับพื้นที่ชุมชน"

พ.ต.อ.ทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า "ปัจจุบันมีพื้นที่กว่า 4.7 ล้านไร่ ที่รัฐยังไม่สามารถพิสูจน์สิทธิ์ได้อย่างชัดเจน และมีชุมชนจำนวนมากที่ถูกประกาศทับที่อยู่อาศัยเดิมของประชาชน คณะกรรมาธิการฯ จะเร่งพิจารณาเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม พร้อมยืนยันว่า หลังการนิรโทษกรรมจะไม่มีการบุกรุกใหม่ ไม่มีนายทุนเข้าครอบครองพื้นที่ และจะเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศจากร้อยละ 31 เป็นร้อยละ 40"

 

นายเลาฟั้ง บัณทิตเทอดสกุล รองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ชัดเจนว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า รวมถึงการปราบปรามความผิดตามกฎหมายป่าไม้หลังปี 2541 ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไป มีสัดส่วนนายทุนน้อยมาก

“คณะกรรมาธิการให้ความสำคัญกับการกลั่นกรองผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติออกจากร่างกฎหมายนี้ โดยได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาเพื่อร่างกฎหมายอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติจะถูกคัดออกไป”

 

นายเลาฟั้งยังกล่าวถึงประเด็นการยื่นเรื่อง ป.ป.ช. ว่า “การเสนอกฎหมายครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นของตนหรือของนายซูการ์โน มะทา เป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติปกติ เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบหรือถูกรัฐรังแกจากนโยบายทวงคืนผืนป่า ประชาชนกลุ่มนี้ไม่ได้รับการคุ้มครองตามมติคณะรัฐมนตรีหรือคำสั่ง คสช. 66/57”

“ผู้ได้รับผลกระทบไม่ควรถูกดำเนินคดีตั้งแต่ต้น แต่รัฐอ้างว่าพวกเขาเป็นนายทุนและจับกุมดำเนินคดี ทั้งที่ตรวจสอบแล้วพบว่าพวกเขาเป็นชาวบ้านทั่วไป วิธีเดียวที่จะคืนความเป็นธรรมคือผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ ด้วยการออกกฎหมายล้างความผิดและล้างมลทิน เพื่อให้พวกเขาได้รับความเป็นธรรมและสามารถกลับไปใช้สิทธิในที่ดินของตนผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ปกติได้”

 

เครือข่ายภาคประชาชนและพีมูฟยืนยันร่วมกันว่า การผลักดันร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ครั้งนี้ คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูสิทธิ ความยุติธรรม และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน เพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

 

 

 

ภาพจาก : สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม