320 05 Sep 2025

การยุติบริการด้านสุขภาพของ International Rescue Committee (IRC) ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยสู้รบเมียนมา เมื่อ 31 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดการด้านมนุษยธรรมของไทย หลังจากกว่า 40 ปีที่ผ่านมา บทบาทหลักของการดูแลสุขภาพผู้หนีภัยกว่า 60,000 คน ถูกขับเคลื่อนโดยองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
เมื่อช่องว่างนี้เกิดขึ้น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง พร้อมเสนอ “แผนระยะเปลี่ยนผ่าน 12 เดือน” (1 ต.ค. 2568 – 30 ก.ย. 2569) เพื่อให้บริการด้านสุขภาพดำเนินต่อได้อย่างไม่สะดุด และสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลกว่าไทยสามารถดูแลด้านมนุษยธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขั้นตอนนี้ สธ. ได้ประสานหารือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA), สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และกองทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้หนีภัยอย่างครบวงจร
2 แนวทางหลัก “ประกันสุขภาพรายหัว – ศูนย์สุขภาพชายแดน”
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การดูแลผู้หนีภัยในค่ายพักพิงจะใช้ 2 แนวทางควบคู่กัน คือ
ทั้งสองแนวทางนี้จะใช้งบประมาณปี 2569 ประมาณ 159 ล้านบาท ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี
เชื่อมโยงมาตรการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวกับการดูแลสุขภาพผู้หนีภัยเมียนมา
น่าสังเกตว่า แผนดูแลสุขภาพผู้หนีภัยสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่เปิดทางให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งพำนักระยะยาวในพื้นที่พักพิงชั่วคราว สามารถขออนุญาตทำงานได้อย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย การจัดระบบนี้ช่วยให้ผู้หนีภัยในค่ายสามารถเข้าสู่ระบบแรงงานอย่างเป็นทางการ และเข้าถึงระบบประกันสุขภาพของรัฐเช่นเดียวกับแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ค่าเบี้ยประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,735 บาทต่อคนต่อปี ยังต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการดูแลสุขภาพประชาชนไทยในระบบบัตรทอง เฉลี่ย 4,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายด้านงบประมาณอย่างชัดเจน หากแรงงานข้ามชาติไม่เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพ จะส่งผลกระทบต่องบประมาณกระทรวงสาธารณสุขราว 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี
บททดสอบด้านมนุษยธรรมและความมั่นคง
การวางระบบสุขภาพให้กับผู้หนีภัยเมียนมา จึงไม่ใช่เพียงการบรรเทาภาระของบุคลากรทางการแพทย์หรือควบคุมโรคระบาดเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบด้านมนุษยธรรมของประเทศไทยท่ามกลางสายตานานาชาติ พร้อมทั้งเป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงที่เชื่อมโยงกับการจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ
ท้ายที่สุด ความสำเร็จของแผน 12 เดือนนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบด้านการรักษาพยาบาลและการควบคุมโรค กระทรวงมหาดไทยที่ดูแลการจัดทำทะเบียนและบัตรประจำตัวบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย สภากาชาดไทย สวทช. ใช้ข้อมูลชีวมิติระบุตัวตนของแรงงานต่างด้าว ที่ไม่มีเอกสารประจำตัว หรือองค์กรระหว่างประเทศที่ร่วมแบ่งเบาภาระ งบประมาณและกลไกการจัดการที่ชัดเจน จะเป็นตัวชี้วัดว่า ประเทศไทยสามารถเปลี่ยน “วิกฤติ” ให้กลายเป็น “โอกาสในการจัดระบบสุขภาพชายแดน” ได้จริงหรือไม่
ภาพและข้อมูลจาก
31 Jul 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม