13 04 Aug 2025
Fake News ในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา: เมื่อข่าวปลอมกลายเป็นอาวุธ
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา การปะทะระหว่างกองกำลังของทั้งสองประเทศในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในสนามรบทางกายภาพ แต่ยังขยายตัวเข้าสู่ “สนามข่าวสาร” ที่มีการใช้ ข่าวปลอม (Fake News) เป็นเครื่องมือในการทำสงครามจิตวิทยา สร้างความสับสนในหมู่ประชาชน และความน่าเชื่อถือต่อสายตาประชาคมโลก
ข่าวปลอมที่เผยแพร่อย่างเป็นระบบ
หนึ่งในกรณีสำคัญ คือ การโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก Royal Embassy of Cambodia to the Republic of Bulgaria ซึ่งกล่าวหาว่า “ประเทศไทยใช้อาวุธเคมีโจมตีกัมพูชา” โดยอ้างคำพูดของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา และแนบภาพเครื่องบินปล่อยควันสีแดงพร้อมธงชาติไทย ก่อนที่ภาพดังกล่าวจะถูกลบออกภายหลัง
กระทรวงการต่างประเทศและกองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างทันที ยืนยันว่าประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention: CWC) อย่างเคร่งครัด และไม่มีการใช้อาวุธเคมีตามที่ถูกกล่าวอ้าง
ทั้งนี้ ภาพที่ถูกใช้ประกอบโพสต์ ยังถูกตรวจสอบโดย CoFact พบว่าเป็นภาพจากเหตุการณ์เครื่องบินฉีดน้ำดับไฟป่าในเมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนมกราคม 2568 ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด
ข่าวลวงรูปแบบอื่น ปั่นกระแส–ปลุกปั่น
Fake News ยังปรากฏในอีกหลายรูปแบบ อาทิ
ข่าวลือแม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต มีการเผยแพร่ภาพพร้อมข้อความ “RIP” สื่อว่า พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต ซึ่งเจ้าตัวได้ออกมายืนยันว่า ยังมีชีวิตและปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าอย่างเข้มแข็ง พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนรับข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้
โพสต์ที่กล่าวว่า “ทหารไทยเกือบ 140 นาย เสียชีวิตใกล้ปราสาทพระวิหาร” โดยใช้ภาพจากภารกิจส่งมอบศพทหารกัมพูชาจำนวน 12 นาย ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะที่ภูมะเขือกลับประเทศตามหลักมนุษยธรรม มาสร้างความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง
อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยถูกยิงตก ข่าวลวงที่ระบุว่า “เครื่องบินรบไทยถูกยิงตกใกล้เขาพระวิหาร” ก็ถูกกองทัพไทยยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง
Fake News อาวุธใหม่ในสงครามข้อมูล
นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า “ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นเป็นการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ และสร้างความคลางแคลงใจในหมู่ประชาชน”
ในยุคดิจิทัลที่ข่าวสารสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว Fake News ได้กลายเป็น “อาวุธใหม่” ที่ทรงพลัง ซึ่งหากประชาชนขาดการรู้เท่าทัน ย่อมมีโอกาสตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จโดยไม่รู้ตัว
บทเรียนสำคัญ เมื่อข่าวปลอมคืออาวุธ
ข่าวปลอมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องตลกหรือเข้าใจผิด แต่คือเครื่องมือตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม
Fake News ในสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดน ถูกใช้เป็น “เครื่องมือทางยุทธศาสตร์” ไม่ต่างจากอาวุธทางการทหาร มีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนขวัญกำลังใจของทหารและประชาชน สร้างความไม่ไว้วางใจ และทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้ามในเวทีระหว่างประเทศ
ข่าวปลอมแพร่กระจาย “อย่างเป็นระบบ” และจงใจบิดเบือน
ตัวอย่างเช่น การใช้ภาพเหตุการณ์จากต่างประเทศมาโยงกับไทย หรือการอ้างแหล่งข่าวที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น สถานทูตหรือโฆษกรัฐบาลประเทศหนึ่ง เป็นการบิดเบือนที่วางแผนมาอย่างรอบคอบ มีเจตนาเพื่อ “ควบคุมทิศทางความเชื่อ” ของสาธารณชน
ความเร็วของ Fake News ชนะข้อเท็จจริงเสมอ ถ้าไม่มีการ “ตอบโต้อย่างทันท่วงที”
ข่าวลวงมักเผยแพร่ก่อนความจริง การออกมา “แก้ข่าวช้า” อาจทำให้ประชาชนจำนวนมากเชื่อข้อมูลเท็จก่อนแล้ว การมีระบบ “สื่อสารด่วนจากแหล่งที่เชื่อถือได้” จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมความเสียหาย
ประชาชนต้องมี “ภูมิคุ้มกันข้อมูล” ไม่ต่างจากภูมิคุ้มกันโรค
การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) และการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-checking) เป็นทักษะสำคัญในยุคข่าวสารล้นหลาม เพราะการ “แชร์โดยไม่เช็ก” เท่ากับช่วยกระจายข่าวปลอมโดยไม่ตั้งใจ
ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของประเทศอาจถูกบ่อนทำลายด้วยข้อมูลเท็จ
ข่าวปลอมไม่ได้กระทบแค่ภายในประเทศ แต่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อนานาชาติ ทำให้รัฐบาล นักการทูต ต้องออกมาแก้ภาพลักษณ์ในระดับสากลอย่างเร่งด่วน
รัฐต้องตอบโต้เร็ว ชัดเจน และเชื่อถือได้
ภาครัฐต้องสื่อสารกับประชาชนอย่างเป็นระบบและน่าเชื่อถือ พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะอย่างโปร่งใสและทันต่อเหตุการณ์
31 Jul 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม