ก้ม

70 20 Sep 2024

ก้ม เป็นคำกริยา แสดงอาการเอาหัวลงไปหน้า เป็นสัญลักษณ์  ที่มีความหมายหลายอย่าง แปลว่า มีเรื่องครุ่นคิด แปลว่า ยอมรับ รู้สึกผิด แปลว่า จำนน กลัว เชื่อฟัง ฯลฯ

 

ก้ม กริยานี้ ใช้มากที่สุด คือ ในเวลายืนอยู่หน้าชั้น หรือเวลาทำผิด ตอบไม่ถูก ทำไม่ได้ ชีวิตในรั้วโรงเรียนจะถูกเคี่ยวเข็ญมากที่สุด ต้องก้มทุกวัน เข้ามามหาลัยก็น้อยลง แต่มามากอีกครั้ง คือ ในหน่วยงานโดยเฉพาะในหน่วยงานราชการ

 

คนส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีก้ม ต่อหน้าครู ต่อหน้าเจ้านาย ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา หรือ คนมีอำนาจเหนือกว่า เราทุกคนเกิดมาจำความได้ จะถูกสอนให้ก้ม คือ ให้ฟังตั้งใจฟัง  ให้จำ ให้ทำ แบบนี้ แบบนั้น อย่างเคร่งครัด จนเป็นสำนึก ลึกอยู่ใต้สำนึก ชีวิตเรา จึงชอบก้ม ก้มด้วยกริยาทางกาย ก้มด้วยความสำนึกสำรวม และน้อมจิต รับฟัง และมักรู้สึกคล้ายๆ กันว่า การมองหน้า คือ ความไม่สุภาพ ไม่ให้เกียรติ ไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพ

 

เมื่อวาน ยันเมื่อเช้า มีคน มาบ่นๆ แบบระอา ว่าทำไม ไม่เลิกพูดเรื่อง จุติเทพ หรือ องค์อวตาร ต่างๆ (เพราะมันน่าเบื่อ ) ผมตอบไป ว่า ถ้าเราแต่ก้ม เอาตัวรอด กลัว ไม่อยากยุ่ง  แล้วใครจะเตือนใคร ใครจะเงยหน้ามอง จ้องตามัน ใครจะลุกขึ้นตะโกนใส่หน้า ว่า พวกมึงพอแล้ว !!!

 

วิธีตรวจสอบ ว่าจิตคุณปกติหรือไม่ คือ เวลาอยู่ใกล้ อะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นมีสถานะอำนาจ หรือ สัญลักษณ์ ของอำนาจ อาทิ ตำรวจ ทหาร เจ้านาย หรือ คนในวัง แล้วรู้สึกตัวสั่น ประหม่า สุ้มเสียงในลำคอติดขัด นั่นแหละ คือ เหตุผลว่าทำไม ต้องก้ม

 

สังคมประชาธิปไตย มาจากรากฐานความเชื่อว่า ปัจเจกชนทุกคน คือเจ้าของเจตจำนง หมายถึง ทุกคนมีความคิดความเชื่อ มีความอิสระ มีความต้องการเพื่อตัวเอง จึง  มีเหตุผล จึงมีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค เท่าเทียมกัน ไม่แยกไม่แบ่งกันออกไป เพียงเพราะสีผิว ชาติกำเนิด ฐานะ หรือ ความเชื่อทางศาสนา หรือ ความคิดเห็น อุดมการณ์ทางการเมือง สังคมแบบนี้มองมนุษย์ ด้วยความมนุษย์เหมือนกัน ไม่มีเทพ ไม่มีใครสูงส่งเกินใคร มีแต่ใครมีหน้าที่ตำแหน่งอะไร และ นั่นคือเหตุผลว่าทำไม หน้าที่  และตำแหน่งจึงควรมีวาระ มีกระบวนการสอบคัดเลือก มีการเลือกตั้ง การโหวต การอภิปราย อย่างเป็นธรรมและโปร่งใสเป็นที่ตั้ง

 

ประชาธิปไตยของเขาจึงทำงานได้ผลตอบโจทย์ ในเรื่องรูปแบบการปกครองได้ตรงตามต้อวการ ในขณะที่เรา แห้ยังไงก็ไม่เวิร์ค สุดท้าย ก็มาจบที่ทหาร ขับรถถังออกมา สุดท้ายก็ถวิลหา เทพ หรือ คนดี (มาจากไหน ไม่รู้) มาปกครอง เป็นประชาธิปไตยที่พูดอะไรก็ไม่ได้ ประชาธิปไตยที่ ประชาชน เลือกคนไปเดินตาม นาย หรือ ไปเป็นคนง่อย พิการ และ ชอบก้ม !!

 

สังคมที่ก้ม จึงเป็นสังคมที่ แก้รัฐธรรมนูญก็แล้ว รัฐประหารก็แล้ว เลือกตั้งก็แล้ว ก็กลับไป ก้ม เหมือนเดิม ปล่อยให้ ไอ้โม่ง อีแอบ ล้วงกินทรัพยากร ฉีกคร่า ฮุบ ผูกขาด เอาเปรียบเอาประโยชน์ ประชาชน ผลประโยชน์ประเทศ ปล่อยให้ ไอ้พวกร่างทรง ผีบ้า ลวงโลก พวกอุตริ วิปลาส มาหากินมอมเมา คนไปทั่ว และเราก็ ก้ม อย่างมากก็ป้องปากแอบขำ ปิดห้อง ซุบซิบ ไม่มีใครเปิดหน้ามาด่า วิจารณ์ ประณาม ทำให้มันดูด้อยค่า

 

สังคมจะดี เราทุกคนต้องเงยหน้า มองคน จ้องตา มอวไปหน้า ยืดคอ อกผาย ไหล่ผึ่ง ทระนง และ โอหัง ต่อการดำเนินชีวิต ต่อการศรัทธาต่อตัวเอง ไม่ใช่หมอบคลานไปให้ไอ้เด็ก ยังล้างทวารตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เคาะกระบาล แก่จนจะตายห่าอยู่แล้ว ยัง ก้ม กราบ อะไรไร้สาระขาดการบำเพ็ญ

 

เวลานี้ รูปแบบความสัมพันธ์ ระส่ำระสาย รวมถึง กลไกทางสังคมเริ่ม ฉีกออก ละหลวม และ เปลี่ยนรูป มีคนเอานิสัย ก้ม ของคนไทย มาหากิน สร้างมโนภาพ เป็นร่างคนโน้นคนนี้ เลอะเทอะไปหมด สถาปนาสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้ตัวเอง

 

คนก็ฉลาดขึ้น เก่งขึ้น มีเครื่องมือสร้างสถานะ หรือ สถาปนาให้ตัวเองง่ายๆ ทำให้ ไม่ต้องบำเพ็ญเพียรแรมปี ไม่ต้องสร้างตบะอะไร แสดงเอาเลย คนโบราณกว่าจะออกมาจากป่า จากการบำเพ็ญตน ทั้งชีวิต บำเพ็ญเพื่อพิสูจน์วัตรปฏิบัติของตัว  เพื่อให้เกิดเสียงร่ำลือ โจษจาน สะสม สาวก สานุศิษย์ สะสมบุญบารมี กันยาวนาน แต่ปัจจุบัน แค่แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ออกสื่อลงโซเชี่ยล แค่ประเดี๋ยวประด๋าว ก็ดังแบบข้ามคืน ตีปี๊ป ทำเพจ ยิง add แป๊ปเดียวก็แห่มา

 

มีคนมาบ่นกับผมว่า ยังไม่ปล่อยอีกหรอ (หมายถึง ทำไมผมยังพูดยังด่าพวกองค์เทพ ) ก็เพราะผมพยายาม กระตุ้นให้คนไทยเลิกก้ม นะสิครับ