10 ปี บิลลี่ 10 ปี ของภาพสะท้อนถึง ความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมไทย

1036 29 Apr 2023

 

 

ลองนึกดีๆ นะครับ เรื่อง 10 ปี  การหายไปของบิลลี่ 10 ปีรัฐประหาร 2557 10 ปี ขบวนการรักชาติ รักสถาบัน และ มวลมหาประชาชนชาวนกหวีด และ 10 ปี จาก รัฐบาลรัฐประหาร มาสู่ รัฐบาลทหาร ที่มาจากการเลือกตั้งแบบโกงคะแนนและยึดอำนาจในรัฐสภา โดย แต่งตั้ง วุฒิสภา

 ไม่นับรวม 18 ปี ของ ขบวนการฟื้นฟู กลุ่มอนุรักษ์ “ชาตินิยมขวาจัดรูปแบบใหม่”  ที่พยายามทุกวิถีทางที่จะหยัดยืนรักษาฐานอำนาจ สถานะ และ การควบคุมทิศทางรัฐ แต่กระนั้น ก็ไม่ง่าย เพราะบาปกรรมที่กระทำกับประชาชน ในนามของ “รัฐ” ที่ตนเองควบคุมสั่งการ กำลังเสื่อม และหมดสิ้นศรัทธาจากคนรุ่นใหม่

ทบทวนพินิจประวัติศาสตร์ 10 ปีที่ผ่านมา กับ ความล้มเหลวของ องค์กรรัฐ และ เสาหลักประเทศ คือ กระบวนการยุติธรรม ที่กลายไปเป็น เครื่องมือให้คนบางกลุ่ม กระทำการ “ฆาตรกรรมประชาชนตนเอง” อย่างไร้กฎหมาย พูดให้ง่ายคือ ผู้รักษากฎหมายเอง ที่ละเมิดกฎหมาย หรือ ปล่อย ละเลย ให้มีการละเมิดกฎหมาย ทั้งกฎหมายปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย และกฎหมายอาญา ที่ประชาชนถูกอุ้มฆ่า ก่อนหน้านั้นและระหว่างนั้น โดยไม่พยายาม หาความยุติธรรม หาข้อเท็จจริง ความถูกต้องมาให้ประชาชนพึ่งพา

 

ระยะนี้ ใครๆ ก็ต้องเผลอไปดูข่าว “แอม”  ฆาตรกรฆ่าต่อเนื่อง หลายศพ  ด้วยการใช้ยาพิษ แบบปราศจากการถูกระแคะระคาย จากกระบวนการยุติธรรม ในประเด็นฆาตรกรรม ไปดูข่าวการเลือกตั้ง ที่มี รัฐบาลเก่ามาลงสมัครอีกครั้ง รัฐบาลเก่าที่มาจากรัฐประหารเก่า จากอดีตอันเคลื่อบแคลง “การอุ้มฆ่า”  นักกิจกรรมทางการเมือง อุ้มฆ่า ต่อเนื่องอยู่หลายปี ตั้งแต่ สุรชัย แช่ด่าน ( ด่านวัฒนานุสรณ์ ) นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และอีกหลายศพ ในห้วงเวลา 10 ปี ที่ผ่านมา ตั้งแต่ 2557 หลังรัฐประหาร จนถึง 2562

 

ทำไมถึงเรียกว่า รัฐฆาตรกรรม ลองกลับมาทบทวน จากกรณี บิลลี่ ซึ่งวันนี้ ครบรอบ 10 ปีพอดี ตามบันทึกในสำนวนของ พ.ต.อ.ไตรวิช น้ำทองไทย ชี้แจงว่า จุดที่สิ้นสงสัยว่ามีผู้พบเห็นบิลลี่ครั้งสุดท้ายคือ ‘ด่านตรวจเขามะเร็ว’ จุดนี้เป็นทางหลักที่จะขึ้นไปยังบ้านโป่งลึก-บางกลอย หรือที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกกันว่า ‘บางกลอยล่าง’ ซึ่งในวันที่ 17 เมษายน 2557 บิลลี่ถูกควบคุมตัวไว้ที่นี่ โดยมีผู้ที่ให้การว่าพบเห็นเขารวม 8 คน

ใน 8 คนนี้ เป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 5 คน รวมถึงนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานฯ ในเวลานั้น นักศึกษาฝึกงานที่อุทยาน 2 คน และมีชาวกะเหรี่ยง 1 คนที่ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา

ในสำนวนระบุคำให้การว่า “ในช่วงเวลาก่อน 16.00 น. วิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แจ้งว่า เจ้าหน้าที่ประจำด่านเขามะเร็วได้ควบคุมตัวบิลลี่ไว้พร้อมน้ำผึ้งป่าจำนวนหนึ่ง ระหว่างบิลลี่ลงมาจากบางกลอยล่าง จากนั้นจึงมีรถของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 1 คันเข้ามาที่ด่าน ในรถมีทั้งหมด 6 คน คือ หัวหน้าอุทยานฯ เจ้าหน้าที่อีก 3 คน และนักศึกษาฝึกงาน 2 คน”

 จากคำแถลงของ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดี DSI ในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นอธิบดี DSI) ชี้ว่าจุดที่พบชิ้นส่วนนี้อยู่บริเวณใต้สะพานแขวน แหล่งท่องเที่ยวชมวิวในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ทั้งยังพบถังขนาด 200 ลิตร 1 ถังถูกเจาะรู พบเหล็กเส้น 2 ชิ้น พบชิ้นส่วนไม้ และพบชิ้นส่วนกระดูกอยู่ใต้ถัง วัตถุทั้งหมดมีรอยถูกเผาไหม้ ตรวจภายหลังพบว่าวัตถุทุกชิ้นผ่านความร้อนมากกว่า 200-300 องศาเซลเซียส

ต่อมา นายแพทย์ วรวีร์ ไวยวุฒิ ผู้อำนวยการกองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งใช้การตรวจด้วยวิธีไมโตรคอนเดรียดีเอ็นเอ วิธีตรวจสารพันธุกรรมที่เป็นความสัมพันธ์จากแม่สู่ลูกที่ใช้ในงานโบราณคดี ผลตรวจชี้ว่าชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้มีสารพันธุกรรมที่สัมพันธ์โดยตรงสืบทอดมาจาก ‘แม่ของบิลลี่’

“ผ่านไปอีกเกือบ 3 เดือน DSI ลงพื้นที่เก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติมจำนวนมาก จึงมีความเห็นส่งฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 4 คน ในข้อหาฆาตกรรมบิลลี่”

แต่สุดท้าย อัยการคดีพิเศษ กลับมีคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” โดยอัยการมีความเห็นแย้งต่อ ‘วัตถุพยานของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์’ พร้อมระบุว่าการตรวจยืนยันชิ้นส่วนกระดูกด้วยวิธีไมโตรคอนเดรียดีเอ็นเอยังไม่สามารถเชื่อถือได้”

คำถามคือ แล้ว อัยการพิเศษ เชื่อถือ ในกระบวนนิติวิทยาศาสตร์ ในการพิสูจน์ หลักฐานพันธุ์กรรมแบบไหน ? และทำไมถึง รอมาเนิ่นนานถึง 10 ปี แต่ก็ยังหาความยุติธรรมให้ครอบครัวบิลลี่ไม่ได้ ซึ่งความผิดนี้ ไม่ว่า รัฐ โดยกรมอุทยานจะทำ หรือ ไม่ได้ทำ แต่ก็เลี่ยงการหาสาเหตุความตาย เลี่ยงการร่วมมือสร้างกระบวนการยุติธรรม สร้างความมีขื่อ มีแป ให้บ้านเมือง ไม่ได้

 

และเรื่องราวทั้งหมด นี้ อยู่ในห้วงเวลาอำนาจของรัฐบาลทหาร และ รัฐบาลที่ผ่านมา และวันนี้ รัฐบาลเดิมนี่แหละ กำลังสมัครลงเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดอำนาจตัวเองต่อ เราประชาชนคนไทย จะเลือกหรือไม่ ก็ลองคิดดูเอาเอง ครับ