ประชาธิปไตยแบบถกแถลง: แนวคิดโดยย่อ
1605 21 Oct 2014

ประชาธิปไตยแบบถกแถลง: แนวคิดโดยย่อ
โคทม อารียา
วกิฤตการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ทำ ให้ความศรัทธาต่อการเลือกต้งั ลดถอยลง มีผู้ไ ปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง
นอ้ ยเมื่อเทียบกบั ช่วงหลงั การประกาศใชรั้ฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 อีกท้งั มีผู้เสนอใหป้ ฏิรูปก่อนการเลือกต้งั
ประหนึ่งว่าจะใช้อำนาจมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องการเลือกต้งั โดยอาจไม่จดั การเลือกต้งั ตามเขตพื้นที่
หากจะจดั เลือกตั้งตามสาขาอาชีพแทน พร้อมกับมีการเสนอว่าไม่จำเป็นตอ้งยึดถือหลัก ‘หนึ่งคน หนึ่งเสียง’
ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการเลือกตั้ง ที่ทุกคนมีสิทธิเสมอกัน เรื่องเหล่านี้ทำ ให้วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้
มีอำนาจบางฝ่ายจะไม่ยอมรับหลักการประชาธิปไตยแบบตัวแทน ซึ่งมีการเลือกตั้งผู้แทน ตนไปใช้อำนาจแทน
ประชาชน แล้ว ห้น ไปใช้หลักการที่คิดขึ้นเอง ซึ่งบอกว่า เหมาะสมกับประเทศไทย อัน ที่จริงตอ้ งยอมรับว่า
ประชาธิปไตยแบบตัวแทนก็มีปัญหา แต่ก็ต้องช่วยกัน แกปัญหา และสร้างสรรคค์ คุณณภาพ มากกว่า จะไปหา
วิธีการที่ผิด แผกและพิสดารมาแทนที่ ในที่นี้ขอนำเสนอเรื่องประชาธิปไตยแบบถกแถลง (deliberative
democracy) เพื่อมาเสริมคุณภาพประชาธิปไตยแบบตวั แทน ซึ่งจะตอ้งช่วยกัน ทำความเข้าใจและทดลอง
ปฏิบัติใช้ ให้รู้ว่าจะมาช่วยเสริมได้จริงหรือไม่เพียงไร
1) ประชาธิปไตยแบบตัวแทนมีความจำเป็น เพราะยึดหลักการ และยังมีหลักการคือการฟังเสียงประชาชนผู้ให้ความ
เห็นชอบยินยอม (consent) ต่อนกัยการเมืองผู้ใช้อำนาจแทนตน แต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพการตัด สินใจ
ของพลเมืองและนักการเมือง ทำให้นักการเมืองบางคนถือว่า เมื่อไดรั้บมอบอำนาจแลว้ ก็ใช้ ด้
ตามใจชอบ
2) ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมมีความจำ เป็นและอาจช่วยแก้ปัญหาประชาธิปไตยแบบตัวแทนได้
บางส่วน เพราะยึด หลักการวว่าการเห็นชอบยินยอมมิใช่เพียงชั่ว เวลาไปลงคะแนนเลือกตั้ง เท่านั้น
หากประชาชนต้องร่วมคิดร่วมตัดสินใจ ร่วมแก้ปัญหาได้ตลอดเวลา แต่การมีส่วนร่วมก็มีปัญหา ถ้า
เกินเลยไป รัฐจะอ่อนแอ และอาจเกิดความขดั แย้ง ระหว่างรัฐกับประชาชน ประชาชนอาจบอกปัด
ใหรั้ฐไปจัด ทำ โครงการที่อื่น (never on my backyard – NIMBY) หรือระหว่างประชาชนด้วยกัน เอง
ได้บ่อยครั้ง
3) ประชาธิปไตยแบบถกแถลงมุ่งเสริมความเข้ม แข็ง และลดจุดอ่อนให้แก่ประชาธิปไตยแบบตัว แทน
และแบบมีส่วนร่วม อันที่จริง เราควรยอมรับส่วนที่ดีของประชาธิปไตยทั้งสามแบบ
4) การถกแถลงเน้นการพูดคุย การสื่อสารความเห็น และการก่อรูปเจตจำนงทางการเมือง โดยเฉพาะก่อนการลงคะแนน หรือการตัดสินใจ
5) ความชอบธรรมของอำนาจในประชาธิปไตยแบบถกแถลง มาจากการอธิบายได้และสภาพพร้อมรายงานและรับผิด (accountability) ของผู้ตัดสินใจใช้อำนาจ มิใช่เพียงแค่การเห็นชอบยินยอมเพียงเท่านั้น ดังนั้น การกำหนดนโยบายจะต้องผ่านกระบวนการถกแถลงและการแจงเหตุผลต่อสาธารณะ
6) ผู้เข้าร่วมการถกแถลงจะต้องพร้อมรับฟังผู้อื่นและปรับความเห็นของตนให้มีเหตุมีผล เมื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม และทราบเหตุผลของผู้อื่น
7) การเห็นพ้องต้องกันเป็นเรื่องที่ต้องพยายามแสวงหาผ่านกระบวนการถกแถลง แต่อาจจะไม่เกิดขึ้นเสมอไป แต่อย่างน้อยผลลัพธ์จากกระบวนการถกแถลงต้องอธิบายแก่ผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายได้ ซึ่งอาจไม่เห็นด้วยทีเดียวแต่พอรับได้
8) การนำแนวคิดประชาธิปไตยแบบถกแถลงไปปฏิบัติ พึงมีหลักการดังนี้ (ก) เพิ่มความชอบธรรมโดยอาศัยสภาพพร้อมรายงานและรับผิด และการมีส่วนร่วม (ข) ประชาชนมีจิตสาธารณะดังจะเห็นได้จากการร่วมกำหนดนโยบายและให้ความร่วมมือ (ค) ทุกฝ่ายเคารพซึ่งกันและกันและกระบวนการเป็นการรวมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยไม่กีดกันใคร และการปฏิบัติต่อกันด้วยไมตรีจิต และ(ง) การเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจ โดยมีข้อมูลและการพูดคุยในเรื่องเนื้อหาที่เพียงพอ
9) กระบวนการถกแถลงมุ่งเปลี่ยนทั้งทัศนคติ (ลดอคติ) ความเห็นและพฤติกรรม การแปลงเปลี่ยนเช่นนี้อาจต้องให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กันทั้ง 4 ฐานดังนี้ (ก) ฐานกาย หมายถึงการรู้การเคลื่อนไหวของกายตนและสัมผัสได้กับการเคลื่อนไหวทางกายของผู้อื่น เช่น การเล่นเกม หรือการก้าวเดินไปคุยกันไป (ข) ฐานความรู้สึก เช่น ดีใจ เสียใจ เป็นสุข เป็นทุกข์ ซึ่งอาจสื่อสารกันได้โดยใช้การสื่อสารอย่างสันติ และการสานเสวนาแบบสืบหาความชื่นชม (appreciative inquiry) เป็นต้น และรวมถึง ฐานใจ หมายถึง การมีทัศนคติ อคติ ความโลภ โกรธ หลง กลัว ฯลฯ ซึ่งอาจใช้การสานเสวนาโดยการฟังด้วยใจ และเอาใจเขาใส่ใจเรา การเจริญสติ และการนำกระบวนการทางจิตวิทยา เช่น ของซาเธียร์ ของมินเดลล์ และของหน่วยงานที่ชื่อว่า Public Conversation มาใช้ เป็นต้น (ค) ฐานหัว หมายถึงความคิด เหตุผล ตรรกะ การวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ การพิจารณาทางเลือกอย่างน้อยสามทาง (เพื่อเลี่ยงทิฐิสองทางเลือกที่มุ่งการแพ้-ชนะ)โดยมีข้อมูลเพียงพอ เป็นต้น และ (ง)
ฐานปฏิบัติและปฏิเวธ คือการมุ่งหวังผล โดยการสรุปรวบยอด สร้างแนวคิดแนวปฏิบัติ กำหนดนโยบายสาธารณะ สร้างเวที เปิดห้องปฏิบัติการสังคม (social laboratory) และการลงมือกระทำในส่วนที่เราทำเองหรือพึ่งพากันเองได้ เป็นต้น
10) ได้มีการนำเสนอประชาธิปไตยแบบถกแถลงและการนำไปทดลองใช้ในต่างประเทศในหลายรูปแบบ อาทิ วันถกแถลงแห่งชาติ (National Deliberation Day) การปรึกษาหารือของพลเมือง ซึ่งรวมถึง การประชุมพลเมือง (Citizen Conference) คณะกรรมการพลเมือง (Citizen Panel) และคณะลูกขุนพลเมือง (Citizen Jury) เป็นต้น การจัดเวทีประเด็นแห่งชาติ (National Issues Forums) การหยั่งเสียงประกอบถกแถลง (Deliberative Opinion Polls) การถกแถลงที่ใช้สมุดประเด็น (Issues Book) เป็นเครื่องมือ
11) ในที่นี้มีข้อเสนอว่า การนำประชาธิปไตยแบบถกแถลงมาทดลองใช้นั้น ควรมุ่งตอบคำถามดังนี้ (ก) อะไรคือปัญหาประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ (ข) อะไรคือปัญหาประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย (ค) ประชาธิปไตยแบบถกแถลงคืออะไร จะช่วยแก้ไขปัญหาประชาธิปไตยได้หรือไม่ (ง) ถ้าจะนำกระบวนการถกแถลงมาใช้ ควรหยิบยกประเด็นใดมาถกแถลง (จ) กระบวนการถกแถลงที่ควรทดลองใช้ เมื่อทดลองใช้กับประเด็นถกแถลงที่หยิบยกขึ้นมาแล้วได้ผลเป็นอย่างไร
12) ในที่นี้ ขอเสนอให้นำกระบวนการถกแถลงมาทดลองใช้ 3 กระบวนการ ได้แก่ (ก) การถกแถลงด้วยใจ มุ่งใช้การสื่อสารอย่างสันติ เพื่อสื่อความรู้สึกและลดอคติ (ข) การถกแถลงแจงเหตุผล มุ่งใช้ข้อมูลและตรรกะ โดยมีสมุดประเด็นเป็นเครื่องมือ และ (ค) การถกแถลงแสวงผล (อึด ฮึด ฟัง ทำ) มุ่งผสมผสาน ทั้งฐานกาย ฐานใจ ฐานหัว แต่ที่มุ่งหวังยิ่งกว่านั้นคือ ความตั้งใจที่จะนำผลการถกแถลง ไม่ใช่ไปเสนอให้ผู้อื่นทำ หากจะทำกันเองให้เกิดผล
แปดสิบสองปีหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค่านิยมและการสร้างระบอบประชาธิปไตยก็ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีการพูดถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ มีการใช้อำนาจของนักการเมืองที่ทำให้ขาดความไว้วางใจ จึงพยายามเสนอให้มีการเพิ่มสภาพพร้อมรายงานและรับผิด และการถกแถลง 3 แบบ มาเสริมแต่มิใช่มาแทนที่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน