การเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการเหมืองแร่โพแทชของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี

1630 13 Dec 2012

การ ต่อสู้ของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี บนเส้นทางของการปกป้องทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ปกป้องวิถีชีวิตชุมชน ตลอดจนปกป้องสิทธิตามธรรมชาติบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ นับได้ว่าเป็นกระบวนการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนาน หลายฉาก หลายช่วงตอน กินเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ ทั้งนี้ บนมิติของกาลเวลาดังกล่าว กลุ่มชาวบ้านได้ปะทะสังสรรค์ในหลายรูปแบบกับกลุ่มคน องค์กร และหน่วยงานที่หลากหลายทั้งฝ่ายเผชิญหน้า หรือเครือข่ายพันธมิตร จนส่งแรงสะเทือนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในหลายมิติบนสนามการเมืองเรื่อง ทรัพยากรธรรมชาติ ที่เลื่อนไหลไปตามสถานการณ์และบริบทแวดล้อมอย่างไม่หยุดนิ่ง ดังนั้น จึงแบ่งช่วงเวลาการต่อสู้ของกลุ่มชาวบ้านออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้ ยุคขยายพื้นที่ทางการเมือง (พ.ศ. 2545-2547) เป็น การต่อสู้ในช่วงเริ่มต้นซึ่งกลุ่มชาวบ้านมีการรวมตัวกันเป็นองค์กรชาวบ้าน เคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านโครงการเหมืองแร่โพแทช จ.อุดรธานี โดยมีการชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดเมื่อกลางปี พ.ศ.2544 จนกระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจากโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี  ขึ้นตามข้อเรียกร้องของกลุ่มชาวบ้าน ดังนั้น น้ำหนักของการเคลื่อนไหวในช่วงนี้จึงมีด้วยกัน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.1)  การยับยั้งกระบวนการแก้ไข พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2510 ที่กำลังอยู่ในขั้นพิจารณาร่วมของกรรมาธิการสองสภา เนื่องจากกรมทรัพยากรธรณี (ปัจจุบันคือกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม) เป็นหน่วยงานที่นำเสนอร่างกฎหมายฉบับแก้ไขดังกล่าว มุ่งหวังจะปลดล็อคทางกฎหมายเพื่อให้สามารถทำเหมืองแร่ใต้ดินในแดนกรรมสิทธิ์ ของบุคคลอื่นได้ การต่อสู้ในสามประเด็นดังกล่าวได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทว่า สภาผู้แทนราษฎรก็ได้มีการลงมติ ในวันที่ 21 สิงหาคม 2545 ผ่านความเห็นชอบร่างกฎหมายแร่ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ที่แก้ไขจากกรรมมาธิการร่วมกัน และลงประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2545 1.2)  ประเด็นเรื่องความไม่ชอบธรรมของกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ซึ่งความบกพร่องของรายงาน ก็เป็นอีกประเด็นในช่วงนั้นที่กลุ่มชาวบ้านได้หยิบยกขึ้นมาเคลื่อนไหวคัด ค้าน เมื่อไม่สามารถยับยั้งกระบวนการแก้ไขกฎหมายแร่ ปี 45ได้ ทำให้ในช่วงปลายปี 2545 คาบเกี่ยวถึงช่วงต้นปี 2546 กลุ่มชาวบ้านได้หันมาเน้นเคลื่อนไหวในเรื่องรายงาน EIA และ สัญญาสัมปทานอย่างเข้มข้น ทั้งการยื่นหนังสือเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์) ผลของการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหตุการณ์ชุมนุมใหญ่ของกลุ่มชาวบ้านจำนวนกว่าหนึ่งพันชีวิต ที่ปักหลักชุมนุมประท้วงอยู่บริเวณด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2546 ส่งผลให้ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเดินทางลงพื้นที่เพื่อเจรจายุติปัญหากับกลุ่มชาวบ้านอย่างเร่งด่วน พร้อมกับยอมรับข้อเสนอ และทำเป็นบันทึกข้อตกลงร่วมกัน(ณัฐวุฒิ สิงห์กุล, 2550) ซึ่งในเวลาต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีคำสั่งที่ 72/2546 ลงวันที่ 13 มีนาคม 2546 แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่โพแทช ขึ้นเพื่อพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในทุกประเด็นใหม่อีกครั้งตาม ข้อตกลงที่ทำไว้กับกลุ่มชาวบ้าน กระทั่งเข้าสู่ปี 2546 ภาคประชาสังคม นักวิชาการ และกลุ่มชาวบ้าน ได้พยายามเคลื่อนไหวผลักดันให้รัฐบาลทบทวนและปรับปรุงกลไกการประเมินผลกระทบ ของโครงการเสียใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมในหลายมิติมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะมีการตัดสินใจดำเนินโครงการ โดยเฉพาะการเสนอแนะให้รัฐบาลเพิ่มเติมกระบวนการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)  ขณะ เดียวกันกลุ่มชาวบ้านยังได้อาศัยช่องทางที่กฎหมายรัฐธรรมนูญเปิดช่องรองรับ สิทธิเอาไว้ให้ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2546 ให้เข้ามาดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในชุมชนท้องถิ่นของโครงการ เหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี และกรมทรัพยากรธรณี (ปัจจุบันคือกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่)อย่างเร่งด่วน (คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, 2550) 1.3)  การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาสัมปทาน ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับบริษัทเอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (APPC) สัญชาติแคนนาดา โดยการชุมนุมครั้งใหญ่ที่หน้ากระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2547 เป็น ผลให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในเวลานั้น (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาสัญญาขึ้น เพื่อพิจารณาเงื่อนไขในสัญญาทุกประเด็นใหม่ โดยให้มีตัวแทนของกลุ่มชาวบ้านร่วมเป็นคณะทำงานด้วย และมีผลสรุปว่าสัญญาไม่เป็นธรรม กล่าวคือต่างชาติถือหุ้นมากกว่าคนไทยในสัดส่วนร้อยละ 50 จนนำมาสู่การขายกิจการของบริษัท APPC ให้กับบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด มหาชน (ITD) และมีการแก้ไขสัดส่วนผู้ถือหุ้นในเวลาต่อมา
  1. ยุคตรึงกำลังในพื้นที่ ปกป้องอู่ข้าวอู่น้ำจากการรุกราน (พ.ศ.2548-ปัจจุบัน)
หลังจากบริษัท APPC ได้ยื่นขอประทานบัตรการทำเหมืองแร่ (แหล่งอุดรใต้) เมื่อปี พ.ศ.2547 การเคลื่อนไหวของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและบริษัท ได้พุ่งเป้ามาที่กระบวนการรังวัดเขตคำขอประทานบัตร พื้นที่โครงการฯ เป็นหลักใหญ่ ในระยะนี้เองได้เกิดการเผชิญหน้าขึ้นบ่อยครั้งระหว่างขบวนการรังวัด (ที่มีฝ่ายข้าราชการ+เจ้าหน้าที่บริษัท+ชาวบ้านกลุ่มสนับสนุน) กับกลุ่มชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ จนเป็นเหตุให้แกนนำกลุ่มชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ฯ รวม 5 คน ถูกบริษัทฟ้องดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ในปีพ.ศ.2549 แต่ศาลจังหวัดอุดรธานีก็พิพากษายกฟ้องในเวลาต่อมา ด้วยเหตุผลว่ากลุ่มชาวบ้านได้กระทำการเพื่อปกป้องสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญ หลัง จากนั้น กลุ่มชาวบ้านได้เคลื่อนไหวเรียกร้องต่อผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และปัญหาความแตกแยกในพื้นที่ ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมจากทุกภาคส่วนขึ้นใหม่อีกครั้ง เพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่โครงการเหมืองแร่ โพแทชอุดรธานีอย่างรอบด้าน ส่งผลให้ระหว่างช่วงปี 2550-2552 รัฐได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นรวมสองชุดกับอีกหนึ่งคณะอนุกรรมการ   ทว่าเมื่อมีการดำเนินงานกันไประยะหนึ่ง กลไกการมีส่วนร่วมดังกล่าว กลับถูกกลุ่มชาวบ้าน นักวิชาการ และนักพัฒนาเอกชน โจมตีว่าเป็นกลไกที่มุ่งผลักดันให้เกิดกระบวนการรังวัดปักหมุดระลอกใหม่ มากเสียกว่าการมุ่งแก้ไขปัญหา และแสวงหาทางออกให้เกิดการพัฒนาที่สร้างความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ ชุมชน สิ่งแวดล้อม และธรรมชาติอย่างแท้จริง และกลายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่มีส่วนเติมเชื้อให้กับปัญหาความขัดแย้งใน พื้นที่ให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น จนเป็นที่มาของการเผชิญหน้าระหว่างคณะกรรมการชุดแรก กลุ่มผู้สนับสนุนโครงการ กับกลุ่มชาวบ้านในต้นปี 2550  หลังเกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้นขบวนการรังวัดได้ทิ้งช่วงนานกว่าหนึ่งปี เมื่อรัฐกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งผ่านคณะกรรมการชุดที่สองในช่วงต้นปี 2552 ภาย ใต้ชื่อ “คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี” โดยมีนายสมพร ใช้บางยาง  รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เป็นประธาน และได้มีคำสั่งลงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาขึ้น โดยมีนายอำนาจ  ผการัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีในขณะนั้น เป็นประธาน เพื่อทำหน้าที่ชี้แจงข้อมูลโครงการและกระบวนการประทานบัตรให้แก่ประชาชนใน พื้นที่ หลัง รับมอบอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดได้เดินเครื่องภารกิจใหม่อย่างเร่งด่วน โดยเรียกประชุมคณะอนุกรรมการนัดแรกในอีกหนึ่งเดือนถัดมา (วันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ) เป็น เหตุให้กลุ่มชาวบ้านตัดสินใจระดมมวลชนกว่าห้าร้อยคนเคลื่อนตัวเข้าชุมนุม ประท้วงกีดขวางเส้นทางคมนาคมสาย อุดรธานี-ขอนแก่น ขาออกตรงบริเวณสามแยกปากทางเข้าสู่อำเภอประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี การชุมนุมที่ยืดเยื้อตลอดทั้งวัน จนผู้ว่าราชการจังหวัดพร้อมด้วยคณะต้องเดินทางมาขอเจรจากับกลุ่มชาวบ้านบน ท้องถนน ก่อนมีการทำบันทึกเป็นข้อตกลงร่วมกัน คือให้ผู้ว่าราชการจังหวัดยุติบทบาทของคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว และให้มีการศึกษาประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์การจัดการแร่โพแทชในจังหวัด อุดรธานี (Strategic Environmental Assessment: SEA)  ก่อนที่จะมีการดำเนินใดๆในพื้นที่โครงการ แต่ ฝ่ายกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) บริษัทเจ้าของโครงการ ตลอดจนกลุ่มผู้สนับสนุนในพื้นที่ กลับเมินต่อเสียงคัดค้าน และขยับตัวเดินเครื่องการรังวัดเขตคำขอประทานบัตรในระลอกใหม่กันอย่างเต็ม กำลัง จนกระทั่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2553 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้จัดเวทีประชุมชี้แจง เรื่องการขออนุญาตประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ณ โรงแรมเซ็นทารา โฮเต็ล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งกลุ่มชาวบ้านก็ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน วันนั้นด้วยเช่นกัน หนึ่ง วันให้หลังจากเวทีประชุมชี้แจงได้เสร็จสิ้นลง ได้มีหนังสือแจ้งเรื่องการลงพื้นที่เพื่อทำการปักหมุดรังวัดเขตคำขอประทาน บัตรโครงการเหมืองแร่โพแทช จ.อุดรธานี ของเจ้าหน้าที่จาก กพร. ทำให้ตลอดทั้งวันของวันที่ 30 ตุลาคม 2553 กลุ่มชาวบ้านได้กระจายตัวแยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ตามหัวไร่ปลายนาที่คาดว่าเจ้าหน้าที่ กพร. จะลงพื้นที่ทำการรังวัด เพื่อปักหลักสกัดกั้นขัดขวางและเฝ้าระวังไม่ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้ สำเร็จ แต่เจ้าหน้าที่ก็พยายามเข้าดำเนินการ โดยการระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยพลเรือน (อปพร.) เข้าเป็นแนวกันชนไม่ให้กลุ่มชาวบ้านขัดขวางการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ กพร. ขณะเดียวกันกลุ่มชาวบ้านผู้สนับสนุนโครงการที่ออกมาเคลื่อนไหวร่วมด้วย จึงเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างกลุ่มชาวบ้าน ทั้งสองฝ่าย ทว่าในท้ายที่สุดกลุ่มชาวบ้านก็ไม่สามารถสกัดกั้นการดำเนินการของเจ้า หน้าที่ได้ ในส่วนความเคลื่อนไหวของบริษัท APPC ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ที่บริษัทได้ทำหนังสือถึงอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี แจ้งผลเสร็จสิ้นการดำเนินการรังวัดปักหมุดเขตคำขอประทานบัตรโครงการเหมือง แร่ ที่ตำบลโนนสูง ตำบลหนองไผ่ อำเภอเมือง ตำบลห้วยสามพาด ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม รวมเนื้อที่ทั้งหมด 26, 446 ไร่ 1 งาน 48 ตารางวา ของเจ้าหน้าที่ กพร. และแสดงความประสงค์จะให้ค่าตอบแทนพิเศษต่อผู้มีที่ดินอยู่ในเขคำขอประทาน บัตร (ค่าลอดใต้ถุน) เป็นจำนวนเงินไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งหนึ่งวันให้หลัง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี โดยวิศวกรชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทน อุตสาหกรรมจังหวัด ได้ออกหนังสือแจ้งต่อไปยังนายอำเภอเมืองอุดรธานี และนายอำเภอประจักษ์ศิลปาคม ขอความร่วมมือให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในพื้นที่ออกมาแจ้งความจำนง เพื่อขอรับค่าตอบแทนพิเศษลอดใต้ถุนจากทางบริษัทเจ้าของโครงการ

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม