ความเป็นนิรันดร์ของสัญญาผูกขาดแร่ทองคำจังหวัดเลย

978 05 Oct 2013

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ 28 กันยายน 2556

                 ผลของสัญญา ว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง ระหว่าง กรมทรัพยากรธรณี กับ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด และกับ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ทำให้บริษัท ทุ่งคำ จำกัด (“ทุ่งคำ”) ยื่นขอประทานบัตรเอาไว้ตั้งแต่ปี 2538 จำนวน 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ แบ่งเป็น
  1. ได้ประทานบัตรแล้ว 6 แปลง คือ ประทานบัตรที่ 26968/15574, 26969/15575, 26970/15576, 26971/15558, 26972/15559 และ 26973/15560 ที่ตั้งอยู่บนภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย รวมเป็นพื้นที่ 1,291 ไร่
ถ้ารวมพื้นที่ที่เป็นโรงประกอบโลหกรรม (แต่งแร่และถลุงแร่) และบ่อกักเก็บกากแร่ (บ่อไซยาไนด์) ในบริเวณพื้นที่ประทานบัตรดังกล่าว จะมีพื้นที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,500 ไร่
  1. คำขอประทานบัตร จำนวน 106 แปลง ประมาณ 30,114 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่ติดอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ประเภทต่าง ๆ (ป่าอนุรักษ์ ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าใช้สอยอื่น ๆ) และพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี
ซึ่งคำขอประทานบัตร แปลงที่ 104/2538 (แปลงภูเหล็ก) ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย และแปลงที่ 76/2539 ต.นาโป่ง อ.เมือง จ.เลย ที่ได้ดำเนินการจัดทำเวทีพับลิก สโคปปิง เพื่อจัดทำรายงาน EHIA ประกอบการขอประทานบัตร ไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2555 และวันที่ 8 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา ตามลำดับ อยู่ในคำขอประทานบัตรกลุ่มนี้ด้วย   สัญญาขัดแย้งกับกฎหมายแร่ในกรณีพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม มาตรา 6 (อ้างอิง 1 ) ทวิและมาตรา 6 จัตวา (อ้างอิง 2 ) แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 (“กฎหมายแร่”) มีข้อจำกัดเกี่ยวกับพื้นที่ที่เป็น ‘แหล่งต้นน้ำ’ หรือ ‘ป่าน้ำซับซึม’ แม้ ปรากฏว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงก็ไม่สามารถประกาศให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อออก ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรได้ จะต้องคำนึงถึงการเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามก่อนเป็นอับดับแรก แต่สัญญาฯ ดังกล่าว กลับด้าน คือ ละเมิดหลักการของมาตรา 6 ทวิ และมาตรา 6 จัตวา ด้วยการนำพื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึมที่พบว่ามีแร่ทองคำมาให้สัมปทานสำรวจแร่และทำเหมืองแร่แก่ผู้ประกอบการได้       ภาพที่หนึ่ง ภาพถ่ายแสดงลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของคำขอประทานบัตรที่ 104/2538 (แปลงภูเหล็ก) คัดลอกจากเอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Public Scoping) โครงการเหมืองแร่ทองคำ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด คำขอประทานบัตร 104/2538 หน้า 6. 25 ธันวาคม 2555 บรรยายภาพที่หนึ่ง นอก จากเป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม ตามมาตรา 6 จัตวา ของกฎหมายแร่แล้ว คำขอประทานบัตร แปลงที่ 104/2538 (แปลงภูเหล็ก) ยังเป็นพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 เอ และ 1 บี ตามที่ระบุไว้ในรายงานการไต่สวนประกอบคำขอประทานบัตรแปลงดังกล่าวอีกด้วย ภาพที่สอง ภาพถ่ายแสดงลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปของพื้นที่คำขอประทานบัตรที่ 76/2539 คัดลอกจากเอกสารราย ละเอียดโครงการเหมืองแร่ทองคำ ทองแดง และเงิน คำขอประทานบัตรที่ 76/2539 และขั้นตอนการศึกษาและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) หน้า 5. เอกสาร ประกอบเวทีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการ กำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (ค.1 หรือพับลิก สโคปปิง) โครงการเหมืองแร่ทองคำ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด คำขอประทานบัตร 76/2539. 8 กันยายน 2556   บรรยายภาพที่สอง บริเวณพื้นที่คำขอประทานบัตรที่ 76/2539 และ 77/2539 มีลักษณะเป็นเนินเขาลูกเตี้ยชายขอบเทือกเขาเพชรบูรณ์ฝั่งตะวันออก ที่แสดงถึงความเป็นแหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม ตามมาตรา 6 จัตวา ของกฎหมายแร่ อย่างชัดเจน เพราะเป็นพื้นที่รับน้ำ มีลำห้วย ลำราง ทางน้ำ ไหลผ่าน นอกจากนั้น พื้นที่นี้ยังมีความสำคัญต่อระบบน้ำใต้ดิน เพราะเป็น Recharge Area หรือพื้นที่รับน้ำเพื่อเติมน้ำลงไปใต้ดิน เพื่อส่งน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มต่ำต่อไป   ความเป็นนิรันดร์ของสัญญาเกิดจากการรวมแร่อื่น ๆ เอาไว้ในสัญญาด้วย สัญญาฯ ดังกล่าว ระบุข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่อื่น ๆ ในพื้นที่ “เขตสิทธิ” (อ้างอิง 3 ) เอาไว้เป็นที่น่าตระหนกตกใจมาก ก็ เพราะว่ารัฐ-ราชการเปิดโอกาสให้ทุ่งคำถือสิทธิครอบครองสัมปทานแร่ทุกชนิด (ไม่เฉพาะแร่ทองคำ) ในเขตสิทธิ 545 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 340,605 ไร่ เต็มพื้นที่ต่อไปได้อีก หลังจากที่ยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ แล้ว ก็ตาม ด้วยเนื้อหาที่ระบุไว้ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำเหมือง “แร่อื่น ๆ” ในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิ ตามข้อ 9 (2) ว่า “ในกรณีที่บริษัทสำรวจพบ “แร่อื่น ๆ” ในเขตสิทธิ และจะขอประทานบัตรทำเหมืองแร่นั้น ในการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ชนิดนั้น บริษัทจะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐบาล นอกเหนือจาก (ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ-ผู้เขียน) ที่กำหนดไว้ในข้อ 3 แห่งสัญญานี้ ทั้งนี้ การออกประทานบัตรจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์วิธีการในพระราชบัญญัติแร่และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากมีการขอเพิ่มชนิดแร่เพิ่มเติม ก็จะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษแก่รัฐสำหรับแร่ที่ขอเพิ่มนั้นด้วย” ตามความเป็นจริง สิทธิในการครอบครองพื้นที่ที่เป็นเขตสิทธิจะต้องลดลงตามพื้นที่ที่ยื่นคำขอประทานบัตรเอาไว้ จำนวน 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ ดังที่ระบุเนื้อหาเอาไว้ในสัญญาข้อ 2 ข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้สิทธิสำรวจและทำเหมือง “แร่ทองคำ” ดังนี้ “ข้อ 2 (1) ภายใน 15 วันนับแต่วันทำสัญญานี้ บริษัทจะต้องยื่นคำขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจ “แร่ทองคำ” ให้เต็มตามพื้นที่ที่ได้รับสิทธิสำรวจและทำเหมือง “แร่ทองคำ” โดยอาชญาบัตรพิเศษจะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 2 ปี “การให้สิทธิสำรวจ “แร่ทองคำ” ตามสัญญานี้ ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุอาชญาบัตรพิเศษหรือเป็นการขออาชญาบัตรพิเศษใหม่ จะมีระยะเวลารวมกันไม่เกิน 5 ปี “ข้อ 2 (2) เมื่อบริษัทได้ยื่นคำขออาชญาบัตรพิเศษเต็มตามพื้นที่ ตามข้อ 2 (1) แล้ว กรมจะดำเนินการเพื่อให้มีการออกอาชญาบัตรพิเศษทั้งหมดให้แก่บริษัทโดยเร็ว “ข้อ 2 (3) หากบริษัทมีความเห็นว่า การสำรวจตามอาชญาบัตรพิเศษฉบับหนึ่งฉบับใดหรือหลายฉบับบ่งชี้ว่ามี “แร่ทองคำ” เพียงพอที่จะลงทุนทำเหมืองได้ บริษัทจะต้องยื่นขอประทานบัตรหนึ่งหรือหลายฉบับสำหรับทำเหมือง “แร่ทองคำ” ให้เสร็จสิ้นก่อนที่อาชญาบัตรพิเศษฉบับนั้น ๆ จะสิ้นอายุ และบริษัทจะเร่งรัดกิจการอันจำเป็นทั้งหลายในการที่จะให้บริษัทได้รับประทานบัตรตามคำขอโดยเร็ว” และปรากฎอยู่ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำเหมือง “แร่อื่น ๆ” ในพื้นที่ที่ได้รับสิทธิ ตามข้อ 9 (1) ด้วยว่า “ในกรณีที่บริษัทได้รับประทานบัตรทำเหมือง “แร่ทองคำ” แต่ปรากฏว่ามีแร่ชนิดอื่นรวมอยู่กับ “แร่ทองคำ” ด้วย และบริษัทประสงค์จะผลิตแร่ชนิดอื่นนั้นด้วย บริษัทจะต้องเสนอผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษเพื่อประโยชน์แก่รัฐบาล ในการพิจารณาอนุญาตให้เพิ่มชนิดแร่แต่ละชนิดลงในประทานบัตรก่อนที่จะทำการผลิต นอกเหนือจาก (ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ-ผู้เขียน) ที่กำหนดไว้ในข้อ 3 แห่งสัญญานี้” โดยสรุปก็คือ เงื่อนไขของสัญญาฯ ดังกล่าว ที่ปรากฏอยู่ในข้อ 2 (1) – (3) และ ข้อ 9 (1) มีความประสงค์ที่ชัดเจนที่จะจำกัดการทำแร่อื่น ๆ ภายใต้คำขอประทานบัตร และประทานบัตรทำเหมือง “แร่ทองคำ” เท่านั้น ซึ่งก็คือพื้นที่คำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำ 112 แปลง ประมาณ 33,600 ไร่ ที่ยื่นขอเอาไว้แล้วนั่นเอง ซึ่งหมายความต่อมาว่าพื้นที่ที่เป็นสิทธิครอบครองสัมปทานจะต้องลดลงตามพื้นที่คำขอประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำด้วย แต่ข้อ 9 (2) กลับขยายหรือเปิดโอกาสให้ทุ่งคำถือสิทธิครอบครองเขตสิทธิ 545 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 340,605 ไร่ เต็มพื้นที่ดังเดิม ด้วยเทคนิควิธีการเขียนสัญญาแอบซ่อนเช่นนี้ สัญญาฯ ดังกล่าว จึงมีลักษณะความเป็นนิรันดร์ เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าทุ่งคำจะขุดแร่อื่น ๆ ซึ่งมีทั้งหิน ดิน ทราย อโลหะ และโลหะชนิดอื่น ในพื้นที่ 545 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 340,605 ไร่ หมดสิ้นลงในวันใด ด้วยลักษณะความเป็นนิรันดร์ของสัญญาเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำความวิปลาสของสัญญาฯ ดังกล่าว มากยิ่งขึ้นไปอีก (โปรดดูบทความชื่อสัญญาวิปลาส ผูกขาดแร่ทองคำจังหวัดเลย ที่ผู้เขียนเขียนไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อประกอบการอ่านบทความนี้)   [1]               มาตรา 6 ทวิ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดพื้นที่ใด ๆ ให้เป็นเขตสำหรับดำเนินการสำรวจ การทดลอง การศึกษา หรือการวิจัยเกี่ยวกับแร่ได้ ภายในเขตที่กำหนดตามวรรคหนึ่งผู้ใดจะยื่นคำขออาชญาบัตร ประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรไม่ได้ เว้น แต่ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นสมควร ให้ยื่นคำขอได้เป็นกรณีพิเศษโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อหมดความจำเป็นที่จะใช้เขตพื้นที่เพื่อประโยชน์ดังกล่าวตามวรรคหนึ่งให้รัฐมนตรีประกาศยกเลิกในราชกิจจานุเบกษา 2              มาตรา 6 จัตวา เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดพื้นที่ใดที่มิใช่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม ที่ได้ทำการสำรวจแล้วปรากฏว่ามีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อออกประทานบัตรชั่วคราว หรือประทานบัตรได้เป็นอับดับแรกก่อนการสงวนหวงห้าม หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่นในที่ดินในพื้นที่นั้น แต่ทั้งนี้ให้คำนึงถึงผลกระทบกระเทือนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้วย 3 “เขตสิทธิ” หมายความว่า เขตขอสิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง คลุมพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอท่าลี่ อำเภอภูเรือ และอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เนื้อที่ประมาณ 545 ตารางกิโลเมตร ตาม ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ ในพื้นที่เพื่อการพัฒนาเหมืองแร่ทองคำเป็นโครงการใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดเลย หนองคาย และอุดรธานี ลงวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2532. คัดลอกจากนิยามที่ปรากฎอยู่ในสัญญา ว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง ระหว่าง กรมทรัพยากรธรณี กับ บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด และกับ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด
Attachment Size
thaingo051056-2.jpg 50.19 KB
thaingo051056-1.jpg 110.2 KB

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม