1909 20 Nov 2019
อำนาจรัฐและบริษัท
ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ในกระบวนการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นสำหรับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ประเภทต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดให้ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้ง EIA และ EHIA นั้น มักถูกบิดเบือนเจตนารมณ์อยู่เสมอ ซึ่งมีทั้งการไม่เปิดเผยข้อมูลที่เหมาะสม รูปแบบการจัดเวทีไม่เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เวลาในเวทีรับฟังความคิดเห็นไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียไม่ได้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นครอบคลุมทุกกลุ่ม และเจ้าภาพจัดเวทีซึ่งเป็นเจ้าของโครงการพยายามทำทุกวิถีทางให้ผู้เข้าร่วมเวทีที่มีความคิดเห็นอันหลากหลายทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือเป็นกลาง ๆ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือบุคคลที่มีความเห็นอื่น ๆ กลายเป็นฝ่ายสนับสนุนโครงการทั้งหมดให้ได้ ฯลฯ
แม้กระทั่งการแจกเงินเพื่อจูงใจให้เข้าเวทีก็ส่งผลอย่างมากต่อกระบวนการตัดสินใจที่เปลี่ยนไป หรือไม่สนใจที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างไม่ตรงไปตรงมาเสียแล้วจากแรงจูงใจดังกล่าว
การบิดเบือนโดยจงใจนับจำนวนประชาชนที่เข้ามานั่งในเวทีทั้งหมดว่าเป็นผู้สนับสนุนโครงการได้ทำให้เจตนารมณ์ของการรับฟังความคิดเห็นไร้ค่าไร้ความหมายไปเสีย เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเจตนารมณ์ของการรับฟังความคิดเห็นแปรผันโดยตรงกับอำนาจของประชาชน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ตกอยู่ในบรรยากาศของความกลัว เช่นเอาตำรวจทหารและอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนเข้ามาในเวที และใช้กลยุทธถ่วงเวลาให้กลุ่มประชาชนที่เจ้าของโครงการไม่อยากรับฟังความคิดเห็นเข้าสู่เวทีล่าช้า หรือตั้งแถวปะทะโดยตรงเพื่อไม่ให้กลุ่มประชาชนที่เจ้าของโครงการไม่อยากรับฟังความคิดเห็นเข้าสู่เวทีเลย หรือพูดจาข่มขู่คุกคามกลุ่มประชาชนที่เจ้าของโครงการไม่อยากรับฟังความคิดเห็นตลอดเวลาเพื่อให้สลายตัวไปเสีย เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ กลับกลายเป็นว่าการรับฟังความคิดเห็นขึ้นอยู่กับอำนาจรัฐและบริษัทแทน เพื่อจะออกแบบให้เกิดการปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้อยู่ในบันทึกการรับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำรายงาน EIA หรือ EHIA ให้จงได้ เพราะเกรงว่าจะส่งผลทำให้ EIA หรือ EHIA ไม่ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่พิจารณาได้
หรือแม้กระทั่งหลายโครงการที่มีกลุ่ม/องค์กรประชาชนแสดงออกอย่างชัดเจนถึงการคัดค้านโครงการ รัฐและบริษัทเจ้าของโครงการก็ควรตระหนักอย่างลึกซึ้งในการออกแบบการประชุมรับฟังความคิดเห็นโดยให้มีสัดส่วนระหว่างฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุนให้เกิดสมดุลย์ให้ได้ ไม่ให้ฝ่ายใดเสียเปรียบ/ได้เปรียบฝ่ายใด
หรือหากไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ ก็ควรที่จะยกระดับจากการรับฟังความคิดเห็นไปเป็นประชามติ โดยออกแบบกระบวนการประชามติให้โปร่งใส รอบคอบ รัดกุม สะดวก ง่าย ต่อการลงประชามติ ดังเช่นรูปแบบการเลือกตั้ง หรือรูปแบบที่ชอบธรรมอื่น ๆ เป็นต้น
แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่รัฐและบริษัททำคือการปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการรับฟังความคิดเห็นทุกช่องทางแทน
ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อำเภอปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด ในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น (ครั้งที่ 2) สำหรับโครงการโรงงานผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลในวันที่ 29 และ 31 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามลำดับของบริษัท น้ำตาลบ้านโป่ง จำกัด ที่ปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยตำรวจควบคุมฝูงชนหนึ่งกองร้อยจัดแถวปะทะไม่ยอมให้ประชาชนในนามภาคีเครือข่ายคนฮักทุ่งกุลาเข้าร่วมเวทีในวันที่ 29 พฤศจิกายน และพอวันที่ 31 พฤศจิกายนกลับยื่นเงื่อนไขให้เข้าร่วมได้ 5 คน
ซึ่งในเวทีมีประชาชนที่ถูกเกณฑ์มาและจูงใจโดยให้ค่าเสียเวลาคนละ 300 บาท เข้าร่วมเวทีประมาณ 1,000 คน จึงกลายเป็นสัดส่วนผู้เข้าร่วมที่คัดค้านโครงการกับสนับสนุนโครงการ 5 ต่อ 1,000 หรือ 1 ต่อ 200 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม มิหนำซ้ำทางเดินเข้าสู่เวทีมีเชือกพลาสติคกั้นแบ่งแยกระหว่างประชาชนในนามภาคีเครือข่ายคนฮักทุ่งกุลาที่แสดงเจตจำนงค์คัดค้านโครงการกับผู้ที่ถูกต้อนเข้าไปนั่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการอยู่ในเวทีแล้ว และมีตำรวจชุดควบคุมฝูงชนตั้งแถวสกัดอยู่หลายทิศทาง ล้อมหน้าล้อมหลัง จำนวนหนึ่งกองร้อย สร้างบรรยากาศความไม่เป็นมิตรและทำให้กลัวขึ้น
กระบวนการการรับฟังความคิดเห็นเช่นนี้ได้ทำให้หลักประกันของสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นเพื่อมีส่วนร่วมกับรัฐในการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสั่นคลอนเพราะถูกกดให้ต่ำลง
ซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายเพื่อพัฒนาบ้านเมืองโดยปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เยี่ยงที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนชาว อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด และในพื้นที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาบ้านเมืองที่ยืนอยู่บนทิศทางที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม
เดิน-ปิด-เหมือง บอกเล่าปัญหาเหมืองหินปูน
จากภูผาฮวกสู่ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู
กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ซึ่งเป็นประชาชนในพื้นที่รอบเหมืองหินปูน 6 หมู่บ้านในเขต ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ที่ต่อสู้กับการให้สัมปทานเหมืองหินปูนตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ได้เผยแพร่ข่าวสารลงในเฟซบุ๊ก ‘เหมืองแร่หนองบัว’ เพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาแสดงพลังคัดค้านการให้สัมปทานเหมืองหินปูนด้วยการเดินเท้าจากหมู่บ้านถึงศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างวันที่ 7-12 ธันวาคม 2562 นี้ เพื่อเรียกร้องหน่วยงานรัฐให้หยุดการต่อใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อกิจการเหมืองแร่หินปูนอีกต่อไป
กิจกรรมดังกล่าวจะใช้การเดินและจัดเวทีทุก ๆ เย็นหลังการเดินเสร็จสิ้นในแต่ละวันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวผลกระทบและความสูญเสียจากการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินบนภูผาฮวก เนื้อที่กว่า 175 ไร่ ซึ่งปัจจุบันนายทุนกำลังจะยื่นขอต่อใบอนุญาตการใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อกิจการเหมืองแร่หินปูน โดยให้สภาองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟมีมติเห็นชอบให้ใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อทำเหมืองแร่ออกไปอีก 10 ปี (จนถึงปี 2573)
พร้อมกันนี้ได้ออกแบบตราสัญลักษณ์การเดินครั้งนี้ โดยอธิบายความหมายไว้ว่า ภูเขาและต้นจันไดบนพื้นสีเขียว-ขาว หมายถึงความอุดมสมบูรณ์และงดงามของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ โดยมีภูเขาและป่าไม้ซึ่งเป็นต้นกำเนิดก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง โดยมีต้นจันได หรือจันผา เป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เป็นต้นไม้ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมในทุกฤดูกาลบนภูมินิเวศเขาหินปูนที่ค่อนข้างขาดแคลนเนื้อดินอันอุดมสมบูรณ์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูนบริเวณนี้ เปรียบดั่งความอดทนและกล้าแกร่งต่อสู้ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชนที่คัดค้านเหมืองแร่หินปูนมาอย่างยาวนานตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
24 Jan 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
11 Feb 2024
11 Feb 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม