1988 11 Jul 2012
วรภัทร วีรพัฒนคุปต์
บนเส้นทางสายธารที่พานพบ คือทำนบเหี้ยมโหดบนโขดหิน คือตำนานแห่งประชาน้ำตาริน จึงอยากเดินบนดินจนสิ้นใจ” เป็นบทกวีที่กินใจจนทำให้คนสมองปลาทองอย่างผมจำได้จนขึ้นใจ เป็นบทกลอนสั้นๆที่สะท้อนได้ถึงจิตวิญญาณ ตัวตนของคนจริงที่ชื่อ “สุวิทย์ วัดหนู” ได้เป็นอย่างดี ผมต้องออกตัวก่อนเลยว่า ที่จริงผมกับพี่สุวิทย์ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเจอหน้ากัน ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆกันมาก่อนเลย ผมได้เข้ามาในแวดวงขบวนการภาคประชาชนก็หลังจากที่พี่สุวิทย์ได้จากไปแล้ว อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะได้เห็นข่าวการตายของพี่สุวิทย์ ผมก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าเขาคือใคร หรือในทางกลับกัน ถ้าผมรู้จักพี่สุวิทย์เร็วกว่านั้น แกก็คงได้รับการเหยียดหยามจากผมอย่างเดียวกับที่ผมเคยทำไว้กับบุคคลอีกหลาย คนที่วันนี้ผมให้ความเคารพนับถือเป็นพี่น้องครูบาอาจารย์ ด้วยเหตุผลควายๆว่า ในอดีต ที่ผมรู้สึกว่า “NGO” แปลว่า “โง่” คำสบถที่ผมมักใช้แสดงถึงความรู้สึกรังเกียจที่มีต่อเอ็นจีโอคือ “ไอ้เอ็นจีโอห่าพวกนี้ นอกจากรับจ้างประท้วงแล้วมันเคยทำประโยชน์อะไรให้ประเทศบ้างวะ” จนกระทั่งการรัฐประหาร19กันยายน2549 ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของผม จากการที่ยอมรับแต่การทำกิจกรรมแนวผู้นำเยาวชนในระบบของสภานักศึกษาใน มหาวิทยาลัย สภาเยาวชน หรือกิจกรรมแนวจิตอาสาอย่างการสอนหนังสือเด็ก ทำกิจกรรมกับเด็กพิการ ผู้สูงอายุ อะไรทำนองนี้ มาสู่การเดินเข้าหาในสิ่งที่ผมเคยรังเกียจสุดลิ่มทิ่มประตู อย่างขบวนการประชาธิปไตยภาคประชาชน (ที่ภาพแรกที่มักผุดในหัวก่อนเลย คือการชุมนุมประท้วง แหกปากจับผิดนักการเมือง) ด้วยเหตุที่ว่า ผมเริ่มรู้สึกว่า “ประชาธิปไตย” ในความหมายของผมที่เคยคิดเพียงว่าต้องเคารพการเลือกตั้งและวิถีทาง รัฐสภา(เพราะผมเป็นยุวชนประชาธิปไตยของรัฐสภาด้วย) มันเริ่ม “ไม่ใช่แล้ว(ว่ะ)!!!” และบังเอิญว่าช่วงรอบปี2550 ก็ดันเป็นช่วงปีที่เราได้สูญเสียนักรบประชาชนคนสำคัญไปถึง 3 ท่านรวด หนึ่งในนั้นก็คือพี่สุวิทย์ (อีก 2 ท่านคือ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ และ นันทโชติ ชัยรัตน์) แม้ว่าผมจะเริ่มเข้าสู่กิจกรรมการเมืองภาคประชาชนและการเคลื่อนไหวเรื่อง สิทธิมนุษยชน จากจุดที่ผมยอมรับไม่ได้กับการรัฐประหาร และได้กล่าวโทษ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ว่าเป็นขบวนการ “เอ็นจีโอสายอำมาตย์” ที่สนับสนุนการรัฐประหาร แต่นั่นก็คือจุดเริ่มต้นของยุค “ฉันจึงมาหาความหมาย” สำหรับผม การเดินทางตามหาความหมาย ได้ทำให้ผมเจอผู้คนในแวดวงนักรบประชาชนมากมาย ที่ได้มีส่วนหล่อหลอม เคี่ยวกรำ ความคิด อุดมการณ์ จิตวิญญาณของผมมากมาย ทั้ง เมธา มาสขาว , บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ , ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ , อาจารย์ภัทรมน สุวพันธุ์ (ที่ผมมักเรียกว่า “เจ๊”) , นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ , บำรุง คะโยธา , มาลีรัตน์ แก้วก่า ,สุริยะใส กตะศิลา , ประสาร มฤคพิทักษ์ , สุนี ไชยรส , กานต์ ธงไชย(ลูกชายของ “พิภพ ธงไชย”) , ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล และอีก ฯลฯ ที่ผมไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ทั้งหมด บุคคลดังที่กล่าวมานี้ เป็นบุคคลที่อาจมีความเกี่ยวข้องผูกพัน คุ้นเคย สนิทสนมมากน้อยแตกต่างกันออกไป บางท่านอาจเคยร่วมงานกันมา บางท่านอาจได้พบเจอกันตามเวทีต่างๆหรือกินเหล้าด้วยกันบ่อยบ้างไม่บ่อยบ้าง แต่ก็ได้ให้ข้อคิดดีๆแก่ผมเสมอทุกครั้งที่เจอกัน หรือแม้แต่บางท่านอย่าง “หัวหน้าโย”(บำรุง คะโยธา) ผมก็เคยเจอเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำ จากการไปกิจกรรมค่ายสิทธิมนุษยชน ลงพื้นบ้านกุดนาไก้ แต่กระนั้นบุคคลเหล่านี้ก็นับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ “จุดเหวี่ยง” ทางความคิด จิตวิญญาณของผมอย่างมาก (คนที่สนิทกับผมจะรู้ดี ว่าในเส้นทางนี้ ผมมีจุดเหวี่ยง ผกผันเยอะมาก กว่าจะมาเป็นตัวผมในวันนี้ จนหลายคนก็ตามไม่ค่อยทัน บางทีก็ทำให้เพื่อนพี่น้องหลายคนปรับตัวหรือทำใจกับผมไม่ได้ ฮา) แต่สิ่งที่เป็นจุดร่วมเดียวกันที่ทำให้ผมต้องพูดถึงและเอ่ยชื่อบุคคลเหล่า นี้ เพราะพวกเขาเหล่านี้ ล้วนเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ที่เคยร่วมงานกับ “สุวิทย์ วัดหนู” มาทั้งสิ้น เพราะว่าพี่สุวิทย์ คือหนึ่งในนักศึกษาที่ร่วมการต่อสู้เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เป็นแกนนำ “แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาธิปไตย” ในช่วงยุคแตกแยกรุนแรงระหว่างอุดมการณ์ซ้ายขวา จนในที่สุดเมื่อเกิดเหตุ 6 ตุลาคม 2519 พี่สุวิทย์ได้เดินหน้าตามอุดมการณ์ มุ่งสู่ป่าไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ในเขตงาน508 ช่องช้าง สุราษฎร์ธานี ต่อมาก็ได้รับมอบหมายจากพรรคให้ไปขยายงานในพื้นที่ชุมพร รวมแล้วพี่สุวิทย์ใช้ชีวิตจับปืนอยู่ในป่ายาวนานถึง 8 ปี หลังออกจากป่า พี่สุวิทย์ก็ได้กลับมาเริ่มกลับมาสู่งานภาคการพัฒนากับทางมูลนิธิดวง ประทีป(ซึ่งเริ่มจากโรงเรียนวันละบาทในชุมชนแออัดคลองเตยของ “ครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ”) จากการทำงานเพื่อสร้างอนาคตและสังคมที่พึงประสงค์ให้เด็กด้อยโอกาสในสลัม คลองเตย ก็ได้ยกระดับมาสู่การทำงานแบบเกาะติดประเด็นคนยากจนในเมือง สิทธิชุมชน ความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ในนามของมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งต่อมาพี่สุวทย์ได้เป็นเลขาธิการและกรรมการของมูลนิธินี้มาตลอด(จนภาย หลังได้ลาออกมาเพื่อเดินหน้างงานสร้างพรรคการเมืองทางเลือกของภาคประชาชน) นอกจากนี้พี่สุวิทย์ยังเคยเป็นทั้งที่ปรึกษาสมัชชาคนจน , เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม4ภาค , เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และได้สนับสนุนการต่อสู้ของสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน(สกยอ.) อันที่จริงการต่อสู้ของพี่สุวิทย์เพื่อผู้ยากไร้ แกก็ทำมานานแล้วตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา อย่างการต่อสู้คัดค้านการสร้างอ่างเก็บน้ำมาบประชัน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ปี2517 หลังจากที่แกนนำในพื้นที่ถูกยิงเสียชีวิต ซึ่งอ่างเก็บน้ำนี้สร้างเพื่อเอื้อบรรดาโรงแรม มิใช่เพื่อการชลประทาน มีคนพื้นที่เดือดร้อนกว่า 2,000ครอบครัว พี่สุวิทย์ต่อสู้จนโครงการก่อสร้างนี้ชะงัก ถูกบรรดานายทุนโกรธค้น ส่งมือปืนมาลอบฆ่า แต่เคราะห์ดีที่รอดมาได้ (และผมเข้าใจว่าจุดนี้เอง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “สุทธิ อัชฌาศัย” กลายเป็นนักสู้เพื่อประชาชนภาคตะวันออก เพราะพี่สุทธิก็เคยพูดไว้ว่าพี่สุวิทย์คือคนหนึ่งที่เป็นรุ่นพี่ผู้สร้างแรง บันดาลใจให้พี่สุทธิ) พี่สุวิทย์ เป็นคนที่ให้มรดกทางความคิดในการยกระดับประชาชน โดยได้ทำให้พวกเราเห็นถึงความสำคัญของการที่ต้องทำงานขับเคลื่อนภาคการพัฒนา ที่ทำต่อประชาชน(บุคคล) ชุมชน ไปพร้อมกับการขับเคลื่อนภาคการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยพี่สุวิทย์ได้เป็นผู้ผลักดันพระราชบัญญัติชุมชนแออัดฉบับภาคประชาชนอีก ด้วย และพี่สุวิทย์ก็ไม่ได้ละทิ้งบทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ท้าทายอำนาจเผด็จการ โดยในเหตุพฤษภาทมิฬ2535 พี่สุวิทย์ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการรณรงค์เพื่อ ประชาธิปไตย(ครป.)ที่เป็นองค์กรร่วมสู้ในเหตุการณ์นี้ และทำหน้าที่โฆษกบนเวทีในระหว่างการต่อสู้นี้ด้วย ต่อมาในปี2549 เมื่อการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มาถึงจุดของการลุอำนาจอย่างที่สุด จนทำให้เอ็นจีโอ นักวิชาการ เครือข่ายประชาชนมากมายต้องรวมขบวนกันเป็น “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” พี่สุวิทย์ก็ยังทำหน้าที่โฆษกบนเวที และต้องยอมรับว่าการก่อตั้งขบวนการพันธมิตรฯในยุคนั้น ได้สร้างปรากฎการณ์น่าสนใจคือ การที่ประชาชนที่เป็นชนชั้นกลาง ชนชั้นผู้มีอันจะกิน กับขบวนการคนจนสลัม ชาวนา แรงงาน มาอยู่ในการชุมนุมประท้วงเดียวกัน เรียนรู้ความเป็นพลเมืองผู้ไม่ยอมจำนนต่อเผด็จการรัฐสภาด้วยกัน(วันนี้ตัวผม ยังบ่นบ่อยครั้งกับบรรดาพี่ๆที่เคารพทั้งหลาย รวมทั้งเพื่อนฝูงนักกิจกรรม ลูกหลานคนเดือนตุลา ลูกหลานแกนนำในพันธมิตรฯ ว่าจะทำยังไงให้เรารักษาขบวนการประชาชนให้มันได้อย่างตอนเริ่มก่อตั้ง พันธมิตรฯ เพราะวันนี้มันแตกกระจายจนสมานกลับได้ยาก และเหมือนจะเริ่มหลงทางมาหักล้าง ทำลายกันเอง) ผมเข้ามาในแวดวงขบวนการภาคประชาชนหลังพี่สุวิทย์จากไปแล้ว แต่อย่างน้อยๆการที่ผมได้เข้าร่วมกลุ่มศึกษาพรรคการเมืองทางเลือก มาเจอหัวหน้าไผ่(นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์) เจ๊เอ๋ (อ.ภัทรมน สุวพันธ์) และพี่ๆเอ็นจีโอ ผู้นำกรรมกร ผู้นำเกษตรกร นักสู้เพื่อคนสลัม คนไร้ที่ คนไร้บ้านอีกหลายท่าน ก็ได้ทำให้ผมรู้ว่าพี่สุวิทย์ฝากมรดกไว้ก่อนหมดลมหายใจอีกอย่างคือ ภาพฝันอนาคตการมี “พรรคการเมืองทางเลือก”ของภาคประชาชน พรรคที่สมาชิกคือผู้มีอำนาจสำคัญสูงสุด มีอุดมการณ์และปฏิบัติการเพื่อสนองความหลากหลายของกลุ่มประเด็นสังคม มีทั้งชาวนา กรรมกร สตรี เด็กเยาวชน เป็นปีกของพรรค ภารกิจนี้พี่สุวิทย์ยังทำได้ไม่ทันจบก็สิ้นลมจากพวกเราไปเสียก่อน เพราะแกไม่ได้ต้องการสร้างพรรคเพื่อให้ตัวเองได้ไปสู่การมีตำแหน่งทางการ เมือง(ที่จริงถ้าแกอยากมี แกยอมขายตัวตามข้อเสนอที่พวกนักการเมืองพยายามยื่นให้แกมาตลอดยังง่ายกว่า เยอะ) แต่แกอยากสร้างพรรคที่เป็นของประชาชน พรรคที่สามารถเคลื่อนอุดมการณ์สาธารณะของชนทุกทุกชั้นทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับการเมืองภาคประชาชนหลุดพ้นการผูกขาดจากการเมืองที่รับใช้ทุนเอา เปรียบประชาชน ในโอกาสที่กำลังจะครบรอบ 5 ปี แห่งการจากไปของพี่สุวิทย์ ในวันที่11 มีนาคม 2555 ที่กำลังจะถึงนี้ ผมจึงขออุทิศบทความนี้เพื่อแทนความศรัทธา คาราวะ และรำลึกถึงพี่สุวิทย์ที่ได้ทำให้คนรุ่นหลังอย่างผมยังมีแรงบันดาลใจ ไม่อยากเดินหนีออกไปจากเส้นทางการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของปวงประชา และเปลี่ยนจากความเบื่อหน่าย อ่อนล้า มาเป็นความภาคภูมิและศรัทธากับหนทางการต่อสู้ที่ “ยิ่งสู้ ยิ่งจน แต่อิ่มใจ” (พี่น้องหลายคนที่รู้จัก สู้ร่วมกันมากับพี่สุวิทย์ วันนี้กลายเป็นอำมาตย์บ้าง นายทุนบ้าง เขาไปตามแนวทางการเมืองแบบที่เขาเชื่อว่าใช่ หรือเพราะไปรับงานใคร ถูกใครจ้างให้มาทำลายพี่น้องภาคประชาชนด้วยกัน อันนี้ผมขอไม่พูดถึงแล้วกัน) อย่างน้อยวันนี้พี่สุวิทย์ก็จะยังมีชีวิตอยู่ในความคิด จิตวิญญาณของผมและเพื่อนพี่น้องอีกหลายคน ผมเชื่อว่าคนดีคนนี้…จะไม่มีวันตายไปจากใจพวกเรานะครับ04 Jun 2025
04 Jun 2025
04 Jun 2025
17 Apr 2025
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม