รัฐสภารับหลักการแก้รัฐธรรมนูญ เปิดทางยกร่างใหม่ ร่างพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก
Back230
17 October 2025
รัฐสภารับหลักการแก้รัฐธรรมนูญ เปิดทางยกร่างใหม่ ร่างพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก หลังนับคะแนนใหม่
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติรับหลักการ ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เพื่อเปิดทางสู่การจัดทำ “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หลังผ่านการพิจารณาในวาระแรก (วาระรับหลักการ) โดยมีร่างที่ผ่านการเห็นชอบ 2 ฉบับ คือ ร่างที่เสนอโดยพรรคประชาชน และ ร่างของพรรคภูมิใจไทย ส่วน ร่างของพรรคเพื่อไทย ไม่ผ่านมติ เนื่องจากได้เสียงจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งถือเป็นฉบับที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหารปี 2557 และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีที่มาไม่เป็นประชาธิปไตย รวมถึงออกแบบให้แก้ไขได้ยากจากโครงสร้างและกลไกของสภา โดยเฉพาะบทบัญญัติที่กำหนดให้
- ต้องมีเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. อย่างน้อย 1 ใน 3 (ราว 67 คน)
- ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือร่างฉบับใหม่
ด้วยเหตุนี้ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จึงไม่สามารถทำได้ทันที แต่ต้องผ่านขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดิม เพื่อเปิดทางให้มีการยกร่างฉบับใหม่อย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายสูงสุด
ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 3 พรรค
พรรคประชาชน ประชาชนร่วมออกแบบรัฐธรรมนูญ
พรรคประชาชนเสนอให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและสภาที่ปรึกษาการร่างรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน มาจากการเลือก 2 ขั้นตอน คือ
- ขั้นแรก ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครแบบทีม ในระบบคล้ายบัญชีรายชื่อทั่วประเทศ เพื่อคัดเหลือ 70 คน
- ขั้นต่อมา ให้รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 35 คน โดยแบ่งสัดส่วนตาม ส.ส. และ ส.ว. ที่มีอยู่ในรัฐสภา
แนวทางนี้ออกแบบมาเพื่อให้หลีกเลี่ยงข้อจำกัดจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรง
- สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ 100 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนจากทุกจังหวัด (รวมกรุงเทพฯ) จังหวัดละ 1-5 คน ตามสัดส่วนประชากร ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษ รับฟังเสียงจากประชาชนทั่วประเทศ เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมาธิการยกร่างฯ รวมถึงรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีอำนาจร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง
พรรคภูมิใจไทย สสร.จากมติรัฐสภา
พรรคภูมิใจไทยเสนอให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 99 คน ที่มาจากการเลือกของสมาชิกรัฐสภา แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- สสร.จังหวัด 77 คน มาจากการเปิดรับสมัครโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากนั้นรัฐสภาจะลงมติเลือกผู้สมัครของแต่ละจังหวัด พร้อมจัดทำบัญชีรายชื่อสำรองจากผู้ได้คะแนนเป็นที่ 2 และ 3
- สสร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 22 คน มาจากการคัดเลือกนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ 7 คน รัฐศาสตร์ 7 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง การบริหาร หรือการร่างรัฐธรรมนูญอีก 8 คน ตามหลักเกณฑ์ที่ประธานรัฐสภากำหนด
ทั้งนี้ สสร.จะเป็นผู้เลือกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต่อไป แต่ร่างไม่ได้ระบุจำนวนและที่มาของกรรมาธิการไว้ชัดเจน
พรรคเพื่อไทย ผสมผสานเลือกตั้ง-แต่งตั้ง
พรรคเพื่อไทยเสนอให้มีผู้ร่างรัฐธรรมนูญแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเช่นกัน
- สสร. 151 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
- สสร.จังหวัด 100 คน มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั่วประเทศ โดยเลือกมา 300 คน แล้วให้รัฐสภาคัดเหลือ 100 คน
- สสร.ผู้ทรงคุณวุฒิ 51 คน มาจากการเสนอชื่อโดย ส.ส., ส.ว., ครม., ศาลสูง, สภาอุตสาหกรรม, หอการค้า, สื่อมวลชน และองค์กรวิชาชีพต่าง ๆ
- กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 27 คน มาจาก สสร. เลือกกันเอง 14 คน และคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์เพิ่มอีก 13 คน เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญตามแนวทางที่สภาร่างฯ กำหนด
โดยภาพรวม ร่างของพรรคประชาชน ถือเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยตรงมากที่สุดในบรรดาร่างทั้งหมดที่เข้าสู่การพิจารณาครั้งนี้
ผลการลงมติ “รับหลักการ”
- ร่างพรรคประชาชน รับหลักการ 568 เสียง (ส.ว. รับหลักการ 108 เสียง)
- ร่างพรรคภูมิใจไทย รับหลักการ 630 เสียง (ส.ว. รับหลักการ 168 เสียง)
- ร่างพรรคเพื่อไทย รับหลักการ 521 เสียง (ส.ว. รับหลักการ 60 เสียง ไม่ผ่าน ขาด 6 เสียง ส.ว.)

หลังจากร่างของพรรคประชาชนและภูมิใจไทยผ่านหลักการ ที่ประชุมต้องเลือกร่างหลักเพื่อใช้เป็นต้นแบบในการพิจารณาในวาระที่สอง (แปรญัตติ)
การลงมติรอบแรกทั้งสองร่างได้ เสมอกันที่ 290 เสียงต่อข้าง และมีงดออกเสียง 15 เสียง ต่อมาเมื่อมีสมาชิกบางคนขอลงคะแนนเพิ่มเติม ทำให้ผลเปลี่ยนเป็น
- ร่างพรรคประชาชน 292 เสียง
- ร่างพรรคภูมิใจไทย 297 เสียง
เกิดการประท้วงและขอให้นับคะแนนใหม่ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 58 ซึ่งกำหนดให้สามารถ “นับคะแนนใหม่โดยวิธีขานชื่อรายบุคคล” หากมีผู้รับรองอย่างน้อย 40 คน
ประธานรัฐสภา วันมูหะหมัดนอร์ มะทา จึงสั่งให้ลงคะแนนใหม่แบบขานชื่อรายคน ผลสุดท้ายคือ
- ร่างพรรคประชาชน 300 เสียง
- ร่างพรรคภูมิใจไทย 287 เสียง
- งดออกเสียง 3 เสียง
- ขาดการลงมติ 100 คน
ทำให้ ร่างของพรรคประชาชน ได้รับเลือกเป็นร่างหลัก สำหรับใช้พิจารณาต่อในวาระที่ 2 (แปรญัตติ) และ วาระที่ 3 (ลงมติผ่านร่าง)
หลังจากนี้ รัฐสภาจะต้องเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือนก่อนครบวาระสภา เพื่อให้สามารถจัดทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งได้ตามแผน แต่หากไม่ทันและมีการยุบสภาก่อน กระบวนการทั้งหมดอาจจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นในสภาชุดหน้า