1445 18 May 2021
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ปัญหาใหญ่ของการผลักดันและเสนอ ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อ ประการแรก คือ นิยามองค์กรภาคประชาสังคมกว้างขวางเกินจริง โดยกำหนดนิยามความหมายของ ‘องค์กรภาคประชาสังคม’ เข้าไปครอบ ‘ขบวนประชาชน’ จนหมดสิ้น[1] ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมจำนวนมากของประชาสังคม/องค์กรภาคประชาสังคมในบริบทของสังคมและการเมืองไทยมักปฏิเสธหรือมีทัศนคติเป็นลบต่อ ‘การเคลื่อนไหว’ บนท้องถนนของขบวนประชาชนที่เรียกร้องความเป็นธรรมด้านต่าง ๆ หรือต่อสู้คัดค้านโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม มาโดยตลอด แต่พยายามให้ขบวนประชาชนเน้นที่ ‘การเจรจาต่อรอง’ กับรัฐและทุนเป็นหลัก
ประการที่สอง คือ การเลือกผลักดันและเสนอร่างกฎหมายแบบหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรมมากเกินไปของเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการกลุ่มหนึ่งซึ่งมีวาระซ่อนเร้น/แอบแฝงที่ทำกันเป็นขบวนการต่อเนื่องมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่รัฐประหาร ๒๕๔๙ ที่พยายามจะควบคุมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้เป็นเด็กดีของรัฐให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น
พฤติกรรมหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรมมากเกินไป ก็คือ ด้านหนึ่งคบหาสมาคมกับเพื่อนพี่น้องในแวดวงเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักวิชาการ นักกฎหมาย องค์กรชุมชน ขบวนประชาชน และองค์กรอื่นใดก็ตามที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน เพื่อขายฝันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะมี ‘กองทุนส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม’ ที่ได้เงินบางส่วนจากการขายลอตเตอรี่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และงบประมาณจากแหล่งอื่น ๆ ของรัฐและเอกชน มาให้แก่ขบวนประชาชนดำเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ ให้มากขึ้นจากกองทุนที่มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วในสององค์กรอย่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อีกด้านหนึ่งก็เอาตัวเองเข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกของรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. โดยรัฐบาลดังกล่าวออกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกาศ ณ วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๘ และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๔/๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งกรรมการและเลขานุการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และ รองประธานกรรมการคนที่สอง ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม (คสป.) สั่ง ณ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ รวมถึงเข้าไปร่วมมือกับองค์กรอิสระอย่างสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่มีหัวหน้าองค์กรเป็นพวกขวาตกขอบอย่างพลเดช ปิ่นประทีป ให้ก่อตั้งสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ขึ้นมา เพื่อให้เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เชื่อมประสานกับ คสป. ที่รัฐบาลเผด็จการทหาร คสช. แต่งตั้งขึ้นตามระเบียบและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้กล่าวมา
ความสัมพันธ์แบบหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรมมากเกินไปแบบนี้ที่หวังว่า ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ จะถูกตราเป็นกฎหมาย/พระราชบัญญัติใช้บังคับในยุคที่เผด็จการทหารมีอำนาจ เพื่อจะทำให้ขบวนประชาชนมีกองทุนเพิ่มขึ้นมาอีกกองทุนหนึ่งนั้น สุดท้ายกลับโดนตลบหลังด้วยการที่รัฐบาลประยุทธ์ ๒ (ซึ่งเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๖๒ ที่วางกลไกสืบทอดอำนาจต่อเนื่องมาจากรัฐบาลเผด็จการทหาร คสช.) มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เห็นชอบ ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ ขึ้นมาแทน ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่มีพัฒนาการมาจาก ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อนั่นเอง
ถ้าจะกล่าวให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็ต้องบอกว่า ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ เกิดขึ้นจากการคบหาสมาคมระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่เข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกของรัฐบาลโดยเข้าไปเป็นกรรมการ อนุกรรมการและที่ปรึกษาใน คสป. ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบและคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว (และรวมถึงกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่โน้มน้าวเพื่อนพี่น้องในแวดวงเอ็นจีโอ ประชาสังคม นักวิชาการ นักกฎหมาย องค์กรชุมชน ขบวนประชาชน และองค์กรอื่นใดก็ตามที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน ให้เกิดการเชื่อมประสานกับ คสป. ด้วย)
ความเลวร้ายของ ‘ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....’ (ร่างฯองค์กรไม่แสวงหารายได้) เมื่อเทียบกับ ‘ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. ....’ (ร่างฯองค์กรภาคประชาสังคม) ซึ่งมีเนื้อหาต่างกันราวฟ้ากับเหวตรงที่ร่างฯองค์กรภาคประชาสังคมมีเนื้อหาเพียงว่าขบวนประชาชนใดที่ต้องการได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนและปัจจัยดำเนินงานอื่น ๆ จากรัฐจะต้องจดทะเบียนตามที่กฎหมายกําหนด (ไม่ได้บังคับให้จดทะเบียน แต่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ และไม่มีบทลงโทษใด ๆ) แต่ร่างฯองค์กรไม่แสวงหารายได้กำหนดเงื่อนไขบังคับ ดังนี้
(๑) ต้องจดแจ้งการเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันกับกรมการปกครองซึ่งเป็นผู้รับจดแจ้ง ถ้าไม่ยอมจดแจ้งจะมีบทลงโทษสูง โดยจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(๒) กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันจะดำเนินกิจกรรมในราชอาณาจักรไม่ได้ถ้าไม่ยอมจดแจ้งตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐกำหนด
(๓) ต้องเปิดเผยแหล่งที่มาและจำนวนของเงินหรือทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินกิจกรรมในแต่ละปี และต้องยื่นแบบรายการภาษีเงินได้ทุกปี
(๔) ต้องเสนอรายงานการสอบบัญชี โดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต่อผู้รับจดแจ้งภายใน 60 วัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี และให้ผู้รับจดแจ้งเผยแพร่ต่อสาธารณะ
(๕) กำหนดให้องค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันจะรับเงินหรือทรัพย์สินจากบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งในไทย มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมในไทยไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมนั้น ๆ
ประเด็นที่ข้อเขียนนี้ต้องการชี้ให้เห็นไม่ใช่เรื่องของความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความปรารถนาดีที่ยังมีอยู่ของกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่เข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกให้กับรัฐบาล (ถึงแม้จะเข้าไปแบบหวังพึ่งบารมีผู้มีอำนาจที่ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกต้องมากเกินไปก็ตาม) เพื่อหาช่องทางนำเสนอและผลักดันร่างกฎหมายอันเป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาชนโดยรวม แต่สิ่งที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือ หนึ่ง-การเข้าไปเป็นเครื่องมือและกลไกให้กับรัฐบาลเพื่อต้องการนำเสนอและผลักดันร่างกฎหมายอันเป็นประโยชน์ (และมีผลกระทบด้วย) ต่อขบวนประชาชนอย่างกว้างขวางกลับมีแต่บุคคลที่มีทัศนคติคับแคบต่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ เพราะส่วนใหญ่ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวล้วนสนับสนุนรัฐประหารทั้งสองครั้งที่ผ่านมา นิ่งเฉยต่อการลุกขึ้นมาเรียกร้องประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จากความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา และ สอง-เป็นร่างกฎหมายที่มีกระบวนการปรึกษาหารือกันในขบวนประชาชนไม่กว้างขวางหรือไม่ได้สัดส่วนกับขนาด/จำนวน/ปริมาณของขบวนประชาชนเท่าที่ควร เมื่อเทียบกับการผลักดันและเสนอร่างพระราชบัญญัติบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. .... ของเครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการที่มีกระบวนการผลักดันและเสนอร่างกฎหมายจากขบวนประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากกว่า
และเมื่อมองดูปรากฎการณ์ ณ เวลานี้ของขบวนประชาชน ข้อสังเกตุประการหนึ่งก็คือกลุ่มเอ็นจีโอ ประชาสังคมและนักวิชาการที่ชักนำขบวนประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างฯองค์กรภาคประชาสังคมซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อขบวนประชาชนโดยรวมกลับไม่เคยแสดงท่าทีสนับสนุนการเรียกร้องให้ปล่อยผู้ถูกจับกุมคุมขังทางการเมืองที่ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแม้สักครั้งเดียว คำถามคือ เงินทุนหรือการสนับสนุนอื่น ๆ ที่ขบวนประชาชนต่าง ๆ จะได้จากร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นขบวนประชาชนแบบไหน อย่างไร ? หรือขบวนประชาชนที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกกันออกจากขบวนประชาชนตามร่างกฎหมายนี้หรือไม่ อย่างไร ?
ดังนั้น ถ้าจะต้องสรุปและถอดบทเรียนในเรื่องนี้ ก็ควรสรุปและถอดบทเรียนให้เห็นถึงความผิดพลาดจากฝ่ายเราด้วย ไม่ใช่สรุปและถอดบทเรียนเพื่อให้เห็นแต่ความผิดพลาดจากรัฐฝ่ายเดียว ซึ่งจะทำให้เห็นข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน
[1] ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม พ.ศ. .... ฉบับที่ประชาชนเข้าชื่อกว่าหนึ่งหมื่นรายชื่อ มาตรา ๓ ระบุว่า “องค์กรภาคประชาสังคม” หมายความว่า องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรธุรกิจ ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตาม จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของชุมชน ท้องถิ่น สังคมหรือส่วนรวมโดยไม่แสวงหากําไรมาแบ่งปันกัน แต่ไม่รวมถึงนิติบุคคล องค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งและดําเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมือง องค์กรธุรกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ทั้งโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด
24 Jan 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
11 Feb 2024
11 Feb 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม