1756 25 Mar 2020
( ขอบคุณ ภาพจาก นสพ.มติชน : https://www.matichon.co.th/article/news_1822038 )
14 ธันวาคม 2562 ที่บริเวณสะพานลอยฟ้า หรือสกายวอล์ค สี่แยกปทุมวัน ประชาชนออกมาแสดงออกถึงความไม่พอใจรัฐบาลสืบทอดอำนาจจากเผด็จการทหาร คสช. กันอย่างเนืองแน่นจนล้นลงไปที่ลานหน้าหอศิลป์ (หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร) น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้นอกสภาของขบวนประชาธิปไตยไทยที่พรรคอนาคตใหม่ปลุกให้มีความหวัง
"วันนี้คือจุดเริ่มต้นของการแสดงพลัง แสดงออกให้พวกเขารู้ว่า ประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ เห็นหัวประชาชนบ้าง เรามารวมกันวันนี้ นี่คือการต่อสู้เพื่ออนาคตของคนไทยทุกคน ปัญหาทุกอย่างของประเทศนี้ ไม่มีทางแก้ได้ถ้ารัฐธรรมนูญชุดนี้ยังอยู่ ไม่มีทางแก้ไขได้ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยังอยู่"[[1]] นี่คือคำกล่าวของปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในเย็นวันนั้น
การนัดหมายแฟลชม็อบในวันนี้เกิดมาจากการเชิญชวนของธนาธรเพียงแค่วันเดียว ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่คำร้องคดียุบพรรคอนาคตใหม่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากกรณีหัวหน้าพรรคปล่อยเงินกู้ให้พรรค 191.2 ล้านบาทเพื่อทำกิจกรรมในช่วงเลือกตั้งถูกส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นที่จับตามองว่าตุลาการทั้ง 9 คน อาจพิจารณาคำร้องในการประชุมวันที่ 18 ธันวาคม 2563 (ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณารับคำร้องไว้เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 และออกประกาศเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 เพื่อนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563) ประกอบกับแรงบีบคั้นหลายกรณีจนสุดทานทนจากการที่พรรคถูกกล่าวหาว่ามีแนวคิด และเจตนาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีความเชื่อมโยงกับองค์กรลับอย่าง 'อิลลูมินาติ' (Illuminati) โดยศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัยคดีนี้ในวันที่ 21 มกราคม 2563 และคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 โดยให้ธนาธรพ้นสภาพความเป็น ส.ส. ย้อนหลังไปนับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2562 จากกรณีถือหุ้นสื่อ จึงทำให้จัดแฟลชม็อบนี้ขึ้น
การฟ้องคดีกลั่นแกล้งที่ถาโถมเข้าหาพรรคอนาคตใหม่เช่นนี้เป็นทั้งภัยคุกคามต่อตัวพรรคเอง และเป็นทั้งภัยคุกคามต่อสุขภาพประชาธิปไตยของสังคมไทยด้วย เนื่องจากสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ทำในรอบปีที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการเลือกตั้งคือการทำให้สังคมไทยตาสว่าง ด้วยการยืนหยัดต่อสู้กับเผด็จการอย่างทระนง สร้างปรากฎการณ์ใหม่ ๆ ในสภาด้วยความขยันขันแข็งและกระตือรือร้น อีกทั้งทำหน้าที่ในสภาเพื่อปกป้อง และยืนหยัดเคียงข้างผลประโยชน์ของประชาชนอย่างเป็นที่ประจักษ์
นับเป็นนิมิตหมายดีงามที่การหายไปของประชาธิปไตยรัฐสภาตลอดห้าปีที่ผ่านมาถูกฟื้นฟูด้วยการมีพรรคการเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่เข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน
ที่น่าสนใจของแฟลชม็อบนี้เกิดมาจากประกาศเชิญชวนเพียงแค่วันเดียวของธนาธร วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อประเมินกำลังของประชาชนว่าจุดเชื่อมต่อระหว่างพรรคอนาคตใหม่กับขบวนประชาธิปไตยไทยมีสภาพเป็นเนื้อเดียวกันแค่ไหน อย่างไร ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่เข้ามาร่วมแฟลชม็อบมีทั้งที่เป็นและไม่เป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการนำของธนาธรค่อนข้างมีพลัง
“ที่สำคัญลักษณะการดำเนินกลยุทธ์ของม็อบในปัจจุบันนี้ เปลี่ยนไปจากอดีตแล้ว คือใช้เวลาสั้น มีอารยะ แต่ทำเป็นระยะ ๆ เพื่อส่งสัญญาณสร้างมวลชนในปริมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อมุ่งสร้างผลกระทบต่อรัฐบาลในเรื่องความเชื่อมั่นเป็นระยะ ๆ ที่สำคัญไม่ใช่แค่ใน กทม. แต่กระจายไปตามหัวเมืองสำคัญ ๆ ด้วย กลยุทธ์ม็อบแบบนี้ ในตัวแบบต่างประเทศนั้น รัฐบาลจะใช้มาตรการทางกฎหมายกับมวลชนได้ค่อนข้างยาก” ความเห็นของ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)[[2]] ต่อกรณีแฟลชม็อบดังกล่าว
และนี่คือคำกล่าวของธนาธรในแฟลชม็อบนี้ที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาเตรียมแปรแฟลชม็อบเพื่อรวมพลขับไล่รัฐบาลต้นปี 2563 “ประชาชนมารวมตัวกันเพื่อประกาศศักดาไม่ถอยไม่ทน จะต่อสู้กับการสืบทอดอำนาจ วันนี้ไม่ใช่การมาเพื่อปกป้องพรรคอนาคตใหม่ แต่มาเพื่อปกป้องอนาคตของคนไทยทุกคน ต้องต่อสู้กับความกลัวด้วยความหวัง ต่อสู้กับอดีตด้วยอนาคต อย่ายอมแพ้ ก้าวไปด้วยกัน”[[3]] นี่คือสิ่งที่ธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ประกาศต่อสาธารณชนในวันที่อยู่บนสกายวอล์ค ซึ่งเป็นอะไรที่ก้าวข้ามความเป็นพรรคการเมืองไปแล้ว เป็นการส่งสัญญาณว่านับแต่นี้เขาจะสู้กับเผด็จการไม่ใช่เพียงแค่สู้ในนามพรรค แต่จะสู้ในนามประชาชนด้วย
ล่วงถึงต้นปี 2563 ความหวังของขบวนประชาธิปไตยยิ่งมีมากขึ้นไปอีกจากกิจกรรม ‘วิ่ง-ไล่-ลุง’ พร้อมกันหลายจุดทั่วประเทศ ในวันที่ 12 มกราคม โดยเฉพาะที่สวนรถไฟกรุงเทพฯที่คนออกมารวมกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นคน ความคึกคักของคนรุ่นใหม่ที่ระเบิดความคิดเห็นลงสู่ท้องถนนจากที่เคยระเบิดความคิดเห็นกันอยู่แต่ในโลกออนไลน์ช่างเป็นอะไรที่เจิดจ้าสว่างไสวว่าสังคมไทยมีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
และแล้ววันตัดสินชะตาพรรคอนาคตใหม่จากคดีอิลลูมินาติก็มาถึงในวันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยให้เหตุผลว่าไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพียงพอว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 ของพรรคมีเจตนาล้มล้างการปกครอง
เป็นที่น่าปลาบปลื้มใจที่พรรคอนาคตใหม่หลุดพ้นจากคดีนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความสมเหตุสมผลใด ๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับเป็นคดีตั้งแต่ต้นก็ตาม แต่ผู้ที่ยืนเคียงข้างอนาคตใหม่ก็กู่ร้องดีใจแบบไม่เต็มเสียงนัก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าคดีกู้เงินที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตัดสินในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 อาจจะไม่รอด อย่างไรก็ตาม ก็ทำให้พรรคอนาคตใหม่คลายความกังวลใจไปได้บ้าง และมีการประเมินจากหลายฝ่ายว่าการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภาในช่วงที่ผ่านมาของพรรคเพื่อที่จะไม่ถอยไม่ทนอีกต่อไปแล้วกับการกลั่นแกล้งนานาของผู้มีอำนาจส่งผลดีต่อคดีอิลลูมินาติ และมีประสิทธิภาพเสียจนทำให้ ‘เหตุผล’ และ ‘ความชอบธรรม’ ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่บนโลกใบนี้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามศาลรัฐธรรมนูญ จนทำให้ไม่สามารถอ้างเหตุผลและความชอบธรรมใด ๆ มายุบพรรคอนาคตใหม่ได้
ดังนั้น สังคมจึงคาดหวังว่าจะได้เห็นการเคลื่อนไหวแบบสกายวอล์คและแบบวิ่ง-ไล่-ลุงอีกหลังตัดสินคดีอิลลูมินาติในวันที่ 21 มกราคม 2563 เพื่อที่จะแสดงออกถึงการไม่ถอยไม่ทนต่อคดีกู้เงินด้วย แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นเลย ต่างจากบุคลิกของพรรคที่ลุกขึ้นสู้ด้วยการเคลื่อนไหวนอกสภาในช่วงเวลาก่อนตัดสินคดีอิลลูมินาติ แต่ทำไมพรรคอนาคตใหม่ถึงเปลี่ยนบุคลิกกลายเป็นนิ่งสนิทต่อกรณีกู้เงิน
จึงมีประเด็นที่น่าขบคิดว่าทั้งตัวพรรคอนาคตใหม่เอง และทั้งผู้ที่ยืนข้างพรรคอนาคตใหม่ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ก็ตาม แท้จริงแล้ว การแสดงออกทั้งในกิจกรรมบนสกายวอล์คและวิ่ง-ไล่-ลุงก็เพื่อที่จะขับเคลื่อนประชาธิปไตยไทยหรือพึงพอใจเพียงแค่แสดงการกดดันไม่ให้ยุบพรรคอนาคตใหม่
ถ้าหากคิดขับเคลื่อนประชาธิปไตยไทยก็ควรที่จะมีการเคลื่อนไหวต่อหลัง 21 มกราคม 2563 ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ก็ตาม แต่กลับเงียบสนิท เพราะพอใจแล้วกับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ใช่หรือไม่
เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่ไม่ดังพอที่พรรคอนาคตใหม่จะตอบ หรืออาจเป็นเพราะวิกฤตที่กำลังคุกคามรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จึงทำให้สังคมเบี่ยงเบนความสนใจและไม่มีเวลาพอที่จะถามให้พรรคอนาคตใหม่ได้ตอบต่อสาธารณะให้ชัดเจน
มันจึงทำให้คำประกาศบนสกายวอล์คและวิ่ง-ไล่-ลุง ที่จะขับเคลื่อนประชาธิปไตยไทยที่มากยิ่งไปกว่าความอยู่รอดของพรรคอนาคตใหม่ล่องลอยหายไปกับสายลม แต่ถ้าคิดในแง่ดี อย่างน้อยที่สุดความอยู่รอดของพรรคอนาคตใหม่ก็ส่งผลโดยตรงกับความอยู่รอดของประชาธิปไตยไทยด้วยเช่นเดียวกัน ณ เวลานี้ หากจะขยับอะไรไปไกลกว่าความอยู่รอดของพรรคก็อาจจะถูกโจมตีว่าได้คืบเอาศอกและสร้างความวุ่นวายมากเกินควร ซึ่งอาจทำให้ผู้มีอำนาจไม่พอใจจนส่งผลให้คดีกู้เงินไม่รอดได้ จึงต้องนิ่งเงียบและสงบเสงี่ยมไว้ไม่ให้ระคายเคืองต่อผู้มีอำนาจเพื่อหวังว่าพรรคอาจจะรอดได้จากคดีกู้เงิน.
[[1]] ข่าวประชาไท ‘แฟลชม็อบแน่นสกายวอล์ค-ล้นลงลานหน้าหอศิลป์ 'ธนาธร' ลั่นไม่ทน-ไม่ถอยให้เผด็จการ’ Submitted on Sat, 2019-12-14 19:06 เข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ที่ https://prachatai.com/journal/2019/12/85545 คัดลอกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563
[[2]] ข่าวมติชนออนไลน์ ‘วิเคราะห์ แฟลชม็อบอนาคตใหม่ บทพิสูจน์พลังประชาชน’ วันที่ 16 ธันวาคม 2562 - 14:00 น. เข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ที่ https://www.matichon.co.th/politics/news_1816742 คัดลอกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563
[[3]] ข่าวบีบีซี ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เตรียมแปรแฟลชม็อบ "ไม่ถอยไม่ทน" รวมพลขับไล่รัฐบาลต้นปี 63’ 10 มกราคม 2020 เข้าถึงข้อมูลออนไลน์ได้ที่ https://www.bbc.com/thai/thailand-50795163 คัดลอกเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563
09 Apr 2024
09 Apr 2024
09 Apr 2024
09 Apr 2024
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม