2692 03 Nov 2018
( ขอบคุณภาพ จาก http://news1live.com/detail.aspx?NewsID=9600000079213 )
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๑
การยืนหยัดต่อสู้ของชาวบ้านเพื่อคัดค้านการสร้างเขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนาที่กั้นแม่น้ำมูลในเขตอำเภอราษีไศล อำเภอกันทรารมย์และอำเภอใกล้เคียง จังหวัดศรีสะเกษ เขื่อนปากมูลปิดกั้นปากแม่น้ำมูลที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เขื่อนหนองหานกุมภวาปีปิดกั้นหนองหานกุมภวาปีก่อนไหลลงลำปาวที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เขื่อนเหล่านี้คือองค์ประกอบย่อยหรือโครงการย่อยของโครงการโขง-ชี-มูล แม้จะไม่สำเร็จในแง่ที่เขื่อนยังคงเดินหน้าก่อสร้้างต่อไปจนเสร็จสิ้น แต่สำเร็จในแง่ที่มันได้ทำลายกรอบคิดตัวแบบการบริหารจัดการน้ำแบบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาของรัฐศูนย์กลางจนระส่ำระสาย ต้องเผชิญกับปัญหาการบริหารจัดการน้ำที่ไร้ประสิทธิภาพเพราะไหลไปไม่ถึงไร่นาของเกษตรกร และเกิดการลุกลามบานปลายมาที่ชาวบ้านในลุ่มแม่น้ำชีที่เขื่อนร้อยเอ็ดและเขื่อนยโสธร-พนมไพรได้ลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านให้รัฐจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายและค่าฟื้นฟูวิถีชีวิตและระบบนิเวศจากการเก็บกักน้ำแล้วทำให้ที่นาของชาวบ้านเกิดน้ำท่วมขังจนได้รับความเสียหายซ้ำซากทำการเพาะปลูกไม่ประสบผลสำเร็จ และพื้นที่สาธารณประโยชน์ที่มีลักษณะแบนราบลุ่มต่ำริมแม่น้ำที่เรียกกันว่าบุ่งและทามถูกน้ำท่วมขังผิดฤดูกาลจนทำให้ระบบนิเวศของป่าบุ่งป่าทามที่เหมาะสมแก่การเจริญพันธุ์ของสัตว์น้ำหลากหลายชนิดและทำการเกษตรตามฤดูกาลที่ชาวบ้านใช้หาอยู่หากินดำรงวิถีชีวิตเกิดความเสียหายขึ้น
โครงการย่อยเหล่านี้ของโครงการโขง-ชี-มูลเป็นโครงการเฉพาะในส่วนของการใช้น้ำภายในประเทศเท่านั้น ในส่วนของโครงการที่ต้องผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาเพื่อพัฒนาพื้นที่เกษตรชลประทานในภาคอีสานถูกระงับเอาไว้ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อปี 2537 โดยให้กลับไปศึกษารายละเอียดและติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากโครงการในส่วนของการใช้น้ำภายในประเทศ ตลอดจนจัดทำข้อเสนอแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสียก่อน แล้วค่อยเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ตลอดเวลาอันยาวนานที่หน่วยงานราชการด้านแหล่งน้ำยังคงมุ่งมั่นผลักดัน “โครงการโขง-ชี-มูลใหม่” เพื่อต้องการผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาให้ได้ แต่การยืนหยัดต่อสู้ของชาวบ้านหลายพื้นที่ตามที่ได้กล่าวมาทำให้ข้อเสนอเรื่องการผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามายังผืนแผ่นดินอีสานไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะว่าหน่วยงานราชการด้านแหล่งน้ำยังแก้ไขปัญหาผลกระทบและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวิถีชีวิต ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในส่วนของโครงการโขง-ชี-มูลที่ถูกอนุมัติให้ใช้น้ำภายในประเทศไม่เสร็จสิ้น ก็เนื่องด้วยความพยายามปัดความรับผิดชอบตลอดมาว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโครงการใด ๆ จนนำมาซึ่งการไม่ยอมรับค่าชดเชย ค่าเสียหายและค่าฟื้นฟูที่ชาวบ้านเรียกร้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าโครงการ
ต้นเหตุที่รัฐศูนย์กลางยังดื้อรั้นต้องการผลักดันการผันน้ำจากแม่น้ำโขงเข้ามาให้ได้ ก็เพราะมีความคิดระนาบเดียวมาตลอดทุกยุคสมัยว่าจะต้องหาน้ำมาป้อนพื้นที่การเกษตรที่มีอยู่ทั้งหมดให้ได้ เพราะเห็นว่าพื้นที่การเกษตรในภาคอีสานปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 58 ล้านไร่ ถูกพัฒนาเป็นพื้นที่เกษตรชลประทานแล้ว 7 ล้านไร่ และถ้าใช้น้ำในลุ่มน้ำภายในประเทศจากลุ่มแม่น้ำชี ลุ่มแม่น้ำมูลและลุ่มแม่น้ำสาขาใหญ่น้อยอื่น ๆ ให้เต็มศักยภาพจะทำให้พื้นที่เกษตรชลประทานเพ่ิมเป็น 13 ล้านไร่ ยังเหลือพื้นท่ี่เกษตรน้ำฝนหรือพื้นที่เกษตรนอกเขตชลประทานอีกประมาณ 45 ล้านไร่ ดังนั้น จึงต้องผันน้ำโขงเข้ามาเพื่อป้อนน้ำให้กับพื้นที่นอกเขตชลประทานที่เหลือทั้งหมดให้ได้ แต่ลืมคิดไปอย่างหนึ่งว่าตัวแบบของการบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาที่สร้างระบบเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ สามารถทำงานได้ดีก็เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะลุ่มต่ำแบนราบสามารถส่งน้ำไปถึงไร่นาด้วยระบบแรงโน้มถ่วงได้ แต่ภาคอีสานไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะภูมิประเทศถูกแบ่งเป็น 4 เขตภูมินิเวศใหญ่ ได้แก่
(1) ภูมินิเวศเทือกเขา เช่น เทือกเขาภูพาน เทือกเขาพนมดงรักและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ที่แยกภาคอีสานออกจากภาคตะวันออกและภาคกลางตามลำดับ รวมถึงที่ราบบนเทือกเขาที่มีลักษณะ “ภูหลังแป” และที่ราบเชิงเขาทั้งหลายด้วย
(2) ภูมินิเวศแอ่งหรือที่ราบลุ่มต่ำของแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร คือพื้นที่ริมแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่ทั้งหลายของภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีภูมินิเวศย่อยเป็นทุ่ง บุ่ง ทาม กุด หนอง ริมแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่ทั้งหลายในภาคอีสาน
(3) ภูมินิเวศที่ราบลอนคลื่นสลับโคก/เนิน ทัั้งที่ยังคงมีสภาพป่าโคกอุดมสมบูรณ์และที่กำลังเสื่อมโทรมและเสื่อมโทรมไปแล้วจากการถูกใช้เป็นพื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สูงกว่าพื้นที่แอ่งโคราชและสกลนครในข้อ (2) เพราะมีลักษณะเป็นภูเขาหรือเนินเขาเตี้ย ๆ สลับที่ราบ
(4) ภูมินิเวศริมแม่น้ำโขงตลอดแนวชายแดนไทย-ลาว จากจังหวัดเลยไปจนถึงอุบลราชธานี
คำถามสำคัญก็คือเราจะบริหารจัดการน้ำทั้ง 4 ภูมินิเวศดังกล่าวด้วยรูปแบบเดียวกันได้หรือไม่ ?
เพราะมีข้อเท็จจริงให้ต้องตระหนักดังนี้ ประการแรก-โดยวิถีการผลิต, ภูมินิเวศเหล่านี้มีความต้องการน้ำ รูปแบบการใช้น้ำและกิจกรรมการผลิตที่ต่างกัน เช่น ภูมินิเวศเทือกเขาเหมาะแก่พืชเศรษฐกิจสำหรับที่สูง ภูมินิเวศแอ่งเหมาะแก่การปลูกข้าวและรักษาแหล่งน้ำเพื่อดำรงวิถีชาวประมง ภูมินิเวศที่ราบลอนคลื่นสลับโคก/เนินเหมาะแก่การปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง เป็นต้น ประการที่สอง-โดยวิถีของฤดูน้ำธรรมชาติ, ภูมินิเวศเหล่านี้เกี่ยวเนื่องกับการเป็นพื้นที่เติมน้ำ (Recharge area) พื้นที่ส่งผ่านน้ำ (Transmission area) และพื้นที่ใช้น้ำ (Discharge area) ที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ระบบและวงจรของน้ำผิวดินและน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาลแตกต่างกัน และยังอาจส่งผลต่อการควบคุมเกลือใต้ดินไม่ให้ผุดขึ้นมาแพร่กระจายอยู่บนผิวดินในระดับรุนแรงเกินไปได้อีกด้วยหากยังสามารถมีน้ำธรรมชาติหรือน้ำฝนเติมลงไปใต้ดินอย่างสม่ำเสมอ และประการที่สาม-โดยวิถีของกฎแรงโน้มถ่วง, ภูมินิเวศเหล่านี้ไม่สามารถส่งน้ำด้วยระบบแรงโน้มถ่วงที่น้ำสามารถไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำได้เหมือนกันหมด
แต่รูปแบบการบริหารจัดการน้ำด้วยการผันน้ำเข้ามาทั้งจากแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขาใหญ่น้อยในภาคอีสานที่รัฐศูนย์กลางได้วางแผนพัฒนามาตลอดทุกยุคสมัยโดยยึดการบริหารจัดการน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นตัวแบบนั้นล้วนเป็นรูปแบบหรือโครงการพัฒนาที่ไม่ตอบสนองหรือสอดคล้องกับภูมินิเวศในแต่ละเขตพื้นที่ ดังที่เคยล้มเหลวมาแล้วจากโครงการโขง-ชี-มูล
แนวผันน้ำที่โง่เขลา
ประตูกั้นน้ำห้วยหลวงที่บ้านดอนคง ต.วัดหลวง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีระดับท้องน้ำอยู่ที่ 151 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (เมตร รทก.) และมีระดับกักเก็บน้ำที่ 160 เมตร รทก. โดยสร้างประตูระบายน้ำปิดกั้นปากห้วยหลวงห่างจากแม่น้ำโขงเข้ามาประมาณ 1 กิโลเมตร และสร้างสถานีสูบน้ำจากแม่น้ำโขงเข้าสู่ประตูกั้นน้ำห้วยหลวง ต่อจากนั้นก็จะผันน้ำเข้าคลองสาย A และสู่เขื่อนหนองหานกุมภวาปีที่อำเภอกุมภวาปี จ.อุดรธานี อีกทอดหนึ่ง แต่น้ำทั้งหมดไม่สามารถไหลเข้ามาด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกได้ เพราะระดับเก็บกักน้ำของประตูกั้นน้ำห้วยหลวงอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าระดับท้องน้ำของเขื่อนหนองหานกุมภวาปีถึง 6 เมตร จึงต้องทำการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าส่งเข้ามาตามคลองสาย A ซึ่งเป็นการสูบน้ำหลายทอดเพื่อลำเลียงน้ำจากที่ที่ต่ำกว่าไปสู่ที่ที่สูงกว่าตามแนวคลองผันน้ำสาย A ซึ่งมีความยาวกว่า 60 กิโลเมตร ด้วยการสร้างสถานีสูบน้ำตามแนวคลองสาย A ไว้เป็นช่วง ๆ เพื่อเพิ่มแรงดันน้ำให้การไหลขึ้นสู่เขื่อนหนองหานกุมภวาปีไม่สะดุดหรือติดขัด และค่าไฟฟ้าทั้งหมดจากการสูบน้ำหลายทอดดังกล่าวจะถูกนำไปเรียกเก็บกับเกษตรกรที่ต้องการใช้น้ำ
เหตุที่ต้องเลือกแนวผันน้ำประตูกั้นน้ำห้วยหลวง-เขื่อนหนองหานกุมภวาปีตามคลองผันน้ำสาย A ก็เพราะมีแรงผลักดันจากนักการเมืองใหญ่ในจังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการป้อนโครงการโขง-ชี-มูลเข้าสู่นโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ในยุครัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นแนวผันน้ำไหลผ่านจังหวัดอุดรธานีที่เป็นฐานคะแนนเสียงใหญ่ในการเลือกตั้ง แต่เป็นแนวผันน้ำที่มีการใช้กระแสไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำสูงมาก และเป็นค่าไฟฟ้าที่จะเอามารวมคิดเป็นค่าสูบน้ำของเกษตรกร จึงทำให้เกษตรกรในพื้นที่โครงการจำนวนไม่น้อยกว่า 29 หมู่บ้าน ต้องแบกรับภาระค่ากระแสไฟฟ้าเพื่อการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงเข้าสู่ประตูกั้นน้ำห้วยหลวงและเข้าสู่เขื่อนหนองหานกุมภวาปีด้วยความโง่เขลาของนักการเมืองที่ร่วมกันผลักดันโครงการนี้
โครงการโขง-เลย-ชี-มูล โดยระบบแรงโน้มถ่วง
รัฐศูนย์์กลางใช้เวลา 14 ปี นับตั้งแต่สร้างประตูกั้นน้ำห้วยหลวงแล้วเสร็จเมื่อปี 2545 จนมาถึงการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการโขง-เลย-ชี-มูลเมื่อปี 2559 จึงรู้ว่าแนวผันน้ำจากประตูกั้นน้ำห้วยหลวงสู่เขื่อนหนองหานกุมภวาปีตามโครงการโขง-ชี-มูลเป็นแนวผันน้ำที่โง่เขลาสร้างความล้มเหลวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยยอมรับออกมาทางวาจาหรือทางลายลักษณ์อักษร แต่การผลักดัน “โครงการโขง-เลย-ชี-มูล โดยระบบแรงโน้มถ่วง” หรือ “โครงการโขง-ชี-มูลใหม่” ที่ยังต้องการผันน้ำโขงเข้ามาสร้างเครือข่ายระบบชลประทานด้วยแรงโน้มถ่วงก็เท่ากับเป็นการยอมรับไปในตัวว่าโง่เขลาและล้มเหลว
คำถามคือ ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าโครงการโขง-เลย-ชี-มูล โดยระบบแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นแนวผันน้ำที่สามารถส่งน้ำโดยระบบแรงโน้มถ่วงได้ เพราะมีความลาดชันจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำลดหลั่นลงมาเป็นลำดับ คือโครงการใหม่ที่ฉลาดกว่าจนสามารถนำไปสู่ความสำเร็จอย่างแน่นอนใช่ไหม ?
แท้ที่จริงแล้วแนวผันน้ำสายนี้ก็เป็นแนวผันน้ำสายหนึ่งในโครงการโขง-ชี-มูลมาแต่เดิม แต่ไม่ถูกเลือกใช้ในช่วงเวลานั้นด้วยเหตุผลทางคะแนนเสียงของพรรคการเมืองตามที่กล่าวไป ดังนั้น คำตอบจึงไม่ได้อยู่ที่ว่ารัฐศูนย์กลางได้แก้ไขความผิดพลาดด้วยการเปลี่ยนแนวผันน้ำเก่าที่โง่เขลาด้วยการใช้วิธีดึงน้ำขึ้นที่สูงจากแม่น้ำโขงเข้าสู่ประตูกั้นน้ำห้วยหลวงและเข้าสู่เขื่อนหนองหานกุมภวาปีและกระจายน้ำตามแรงโน้มถ่วงลงสู่ลำปาวและลุ่มแม่น้ำชีและมูลต่อไปด้วยการผลักดันแนวผันน้ำใหม่ที่ฉลาดกว่าตามโครงการโขง-เลย-ชี-มูล โดยระบบแรงโน้มถ่วงแล้ว ประชาชนอย่างเราจึงควรปล่อยมันผ่านไปหรือลืมความโง่เขลาที่สร้างความล้มเหลวนั้นไปเสีย อย่าได้จดจำรำลึกอันใดอีก แต่คำตอบอยู่ตรงที่ตราบใดที่รัฐศูนย์กลางยังคงมุ่งส่งออกการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายด้วยแนวคิดการใช้อำนาจศูนย์กลางชี้เป็นชี้ตายหรือใช้อำนาจบาตรใหญ่ต่อประชาชนในพื้นที่ที่ถูกพัฒนาเสมือนว่าประชาชนและพื้นที่เหล่านั้นเป็นอาณานิคมภายในของตน จะกดขี่ข่มเหงอย่างใดก็ได้โดยไม่แยแสหรือมุ่งมั่นเอาใจใส่ว่าโครงการพัฒนาเหล่านั้นจะสร้างผลกระทบให้เกิดแก่วิถีชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนหรือไม่อย่างไร ไม่เว้นแม้กระทั่งโครงการโขง-เลย-ชี-มูลที่อาจจะฉลาดกว่าในแง่ที่เป็นแนวผันน้ำที่สามารถส่งน้ำตามแรงโน้มถ่วงได้ แต่ก็ยังโง่เขลาอยู่ดีในแง่ที่การกักเก็บน้ำที่ฝืนฤดูกาลของน้ำตามธรรมชาติจะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวางและรุนแรงต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมจนสะเทือนไปถึงห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศตลอดเส้นทางผันน้ำโขง-เลย-ชี-มูล ตราบนั้น, ไม่ว่าจะเป็นโครงการผันน้ำโขงที่โง่เขลาหรือโครงการผันน้ำโขงที่ฉลาดกว่าเดิม ขบวนการนิเวศวัฒนธรรมอีสานยังคงเป็นแนวรบที่มีพลังในการต่อต้านการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอยู่เสมอ
24 Jan 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
11 Feb 2024
11 Feb 2024
24 Jan 2024
30 Nov 2023
ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม