กรณีฮิญาบที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี ข้อท้าทายในการร่วมเเก้ปัญหา

2294 26 May 2018

ขอบคุณภาพจาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/754031

กรณีฮิญาบที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี ข้อท้าทายในการร่วมเเก้ปัญหา

อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)

กรรมการสภาประชาสังคมชายแดนใต้ Shukur2003@yahoo.co.uk

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด

ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ภาพบรรยากาศ นักเรียนและผู้ปกครองมุสลิมมอบดอกไม้ให้ผู้อำนวยการและคณะครูโรงเรียนอนุบาลปัตตานีแทนการขอบคุณที่พวกเขาได้สวมใส่ฮิญาบเข้าเรียนได้ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นข่าวดังในโลกโซเซียลว่าเขาไม่สามารถแต่งได้ จนทำให้รัฐโดยรัฐบาลส่วนหน้าเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องหิญาบโดยนำเรื่องกฎระเบียบกระทรวงที่อนุญาตให้มุสลิมแต่งกายฮิญาบเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี (โรงเรียนของรัฐ)ได้ก่อนจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่เพิ่มดีกรีความรุนแรงชายแดนใต้เหมือนเหตุประท้วงที่ยะลา เมื่อ 30 กว่าปีที่วิทยาลัยครูยะลาขณะนั้นไม่อนุญาตให้มุสลิมสวมฮิญาบเข้าเรียน (โปรดอ่านรายละเอียดใน https://www.isranews.org/south-news/other-news/66105-apparel.htm)

ความเป็นจริงถึงแม้การใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ และกฎกระทรวงที่อยู่เหนือระเบียบโรงเรียนเข้ามาแก้ปัญหาอาจเป็นทางออกหนึ่ง แต่ลึกๆแล้วความขัดแย้งทางความรู้สึกแพ้ชนะแต่ละฝ่ายที่มีกองเชียร์ (สามารถดูได้จากกระแสโลกโซเซียล)กำลังคุกกรุนที่พร้อมจะระเบิดหากไม่สามารถใช้กระบวนการเสวนาอย่างมีศาสตร์และศิลป์ของข้องกังวลอีกฝ่ายได้และพร้อมจะเป็นเชื้อปะทุโหมกระหน่ำไฟใต้ได้ตลอดเช่นกันดังที่มีเเถลงการณ์ของชาวพุทธกลุ่มหนึ่งเเละพระส่วนหนึ่งประกาศไม่ยอมพร้อมสู้กับประกาศที่เขามองว่าขาดความชอบธรรม(โปรดอ่านรายละเอียดใน https://www.isranews.org/content-page/67-south-slide/66220-monk.html)

นายแพทย์ Fahmi Talebได้ตั้งข้อเกตปรากฏการณ์ฮิญาบครั้งนี้ผ่านเฟสส่วนตัวว่า มีเรื่องชวนคิด จากเหตุการณ์เรื่องฮิญาบของรร.อนุบาล ปัตตานีเรื่องแรก คือ อิทธิพลจากโซเชียลมีเดีย ประเด็นเรื่องฮิญาบในสถานศึกษา ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น สมัย 30 ปี ก่อน มีประท้วงใหญ่ โรงเรียนอนุบาลปัตตานี เป็นโรงเรียนรัฐ ที่มีนักเรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนไทยพุทธ ครูก็เช่นกัน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปัตตานี อยู่ตรงข้ามวัด บริบททั้งหมดเหมาะสมแก่การศึกษาของบุตรหลานชาวไทยพุทธและชาวจีนในพื้นที่ ส่วนนักเรียนมุสลิมที่เข้าเรียนที่นี่ มักเป็นคนชั้นกลางที่อยู่ในเมือง ลูกหลานของนักธุรกิจ หรือข้าราชการ ภรรยาผมก็เป็นศิษย์เก่าที่โรงเรียน เข้าใจสภาพโรงเรียนดี

นักเรียนมุสลิมสมัยก่อนๆ ไม่ได้มาจากครอบครัวสาย Islamic conservative หรืออนุรักษ์นิยมตามวิถีอิสลาม ส่วนครอบครัว Islamic conservative หรือ ชาวบ้านมุสลิมทั่วไปๆ ในตัวเมืองปัตตานี ก็มักหาตัวเลือกอื่นในการเรียนประถมศึกษาให้ลูกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้หลายสิบปี ที่ไม่เคยมีปัญหา เพราะผู้ปกครองมุสลิมที่เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากเรื่องฮิญาบ ซึ่งเป็นไปตามระดับความเคร่งครัดของครอบครัว ดังนั้นจึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องเหล่านี้ หรืออาจมี แต่ผู้ปกครองที่อยากให้ใส่คงไม่ได้คัดค้านอะไรมากนัก ปัจจุบัน ชนชั้นกลางมุสลิมมีมากขึ้น รวมถึงสื่อการสอนศาสนาผ่านโลกออนไลน์มีมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในด้านความเคร่งครัดในศาสนาของคนชั้นกลาง โดยผ่านตัวกลางคือสื่อออนไลน์ก็มีมากขึ้น ดังนั้นประเด็นเรื่องฮิญาบ จึงกลายเป็นความสนใจที่ผู้ปกครองเอาใจใส่มากขึ้น มิติด้านพหุวัฒนธรรมที่ถูกพูดถึงในพื้นที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ถูกใช้ในการเรียกร้องครั้งนี้ด้วยแต่มีข้อสำคัญที่ควรนึกถึง คือ ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม ล้วนหวงแหนพื้นที่และอำนาจของตัวเอง และปฏิกริยาในการป้องกันพื้นที่ที่เขาหวงแหนนั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลรองรับ เช่นกรณีที่บุคลากรหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน รร.อนุบาลปัตตานี อ้างสิทธิ กฏระเบียบของโรงเรียน หรือ อ้างอิงถึงธรณีสงฆ์ กล่าวอ้างขึ้นมา แม้เป็นเหตุผลที่ฝ่ายเรียกร้องสิทธิฮิญาบบอกว่าไม่มีเหตุผล เพราะมีกฏหมายประเทศเรื่องระเบียบเครื่องแต่งกายตามศาสนาที่อยู่ในลำดับสูงกว่าอยู่

ความรู้สึกที่เห็นว่า พื้นที่ที่ตัวเองเคยมีอำนาจ (โรงเรียน, ชุมชน, มัสยิดศูนย์กลาง) กลับถูกท้าทายด้วยผู้เล่นใหม่ที่เข้ามา และการสกัดกั้นตามสัญชาตญาณจึงออกมาเช่นที่เป็นปรากฏ ดังนั้นการได้รับอนุญาตให้นักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบในโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ไม่ใช่ชัยชนะของมุสลิม และไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของคนไทยพุทธในพื้นที่มุสลิมได้รับสิทธิที่ไม่ได้กระทบกับวิถีปฏิบัติของชาวไทยพุทธเรื่องนี้คือเรื่องพื้นฐานมากๆ ปรากฏการณ์เรื่องนี้มีแค่นิดเดียวนั้นคือ นักเรียน 7 คนที่ครอบครัวและตัวนักเรียนต้องการสวมใส่ฮิญาบตามหลักศาสนา ได้รับอนุญาตจากทางโรงเรียน และทางโรงเรียนก็ไม่ได้สูญเสีย การเรียนการสอนก็ยังคงเป็นไปตามเดิม ครูทุกคนก็ทำหน้าที่เหมือนเดิม การทำความเข้าใจที่ดีในเรื่องซับซ้อนเช่นนี้คงต้องใช้เวลา เหตุผลที่ดีย่อมเอาชนะผู้มีปัญญาทั้งหลายแน่นอน ด้วยระยะเวลาและวิธีที่เหมาะสม ยกเว้นว่าต่างฝ่ายต่างไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลที่ดี และวิธีที่เหมาะสมได้ นางอังคณา นีลไพจิต ได้แสดงทัศนะผ่านเฟสส่วนตัวว่า

#นักสิทธิมนุษยชนและนักสันติวิธีบางคนเรียกร้องให้ใช้กระบวนการทางศาล เรื่องระเบียบโรงเรียนขัดรัฐธรรมนูญ #ส่วนตัวขอยืนยันว่า การใช้หลักนิติศาสตร์เพียงลำพังไม่สามารถแก้ปัญหาความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ได้ หนำซ้ำยังอาจทำทำให้เกิดการปะทะทางความคิดมากขึ้น ซึ่งจะไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งไดๆได้ เรื่องนี้จึงควรใช้หลักรัฐศาสตร์ในการเจรจาประนีประนอม โดยยึดเอาผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ ในระยะยาว (โปรดดูข้อกังวลและข้อเสนอชาวพุทธจชต.ผ่านงานวิจัย1. https://mgronline.com/south/detail/9610000048952 2.https://deepsouthwatch.org/th/node/11160 )

ทุกฝ่ายควรเปิดพื้นที่ให้มีการพูดคุยในทุกความคับข้องใจ เพราะน่าจะมีหลายเรื่องที่ควรพูดคุยระหว่างคนต่างศาสนาเพื่อหาทางออกในการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ท่านที่ติดตามเรื่องราวปัญหาใน จชต. คงทราบว่านอกจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานนับสิบปีแล้ว ยังมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ที่เคยอยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน ไว้วางใจและร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่ปัจจุบันความสัมพันธ์และความรู้สึกดีๆเหล่านี้หายไป แถมยังแปรเปลี่ยนเป็นความหมางเมิน หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ เด็กๆที่เคยมีเพื่อนสนิทเป็นคนต่างศาสนิก ได้เรียนรู้ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความเชื่อและศาสนา พบว่าปัจจุบันเด็กรุ่นใหม่เติบโตแบบแยกกันเรียน แยกกันเล่น เด็กมุสลิมส่วนมากเรียนในโรงเรียนที่สอนศาสนาอิสลามด้วย ส่วนเด็กพุทธก็เรียนในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งบางโรงเรียนแทบไม่มีมุสลิมเรียน ไม่นานมานี้ มีกรณีความไม่สบายใจของคนไทยพุทธในพื้นที่กรณีที่โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัดยะลา ประกาศให้อาหารในโรงพยาบาลเป็นอาหารฮาลาลทั้งหมด โดยให้มีครัวฮาลาลครัวเดียว โดยให้เหตุผลว่า “อาหารฮาลาลทุกคนรับประทานได้” แต่หากผู้ป่วยประสงค์จะรับประทานอาหารทั่วไปก็ต้องนำอาหารพร้อมภาชนะมาเอง เรื่องนี้แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็สร้างความรู้สึกไม่เป็นธรรมต่อผู้ป่วยและญาติที่ไม่ได้เป็นมุสลิม ทั้งที่ที่จริงโรงพยาบาลสามารถจัดให้มีสองครัวได้ ทั้งครัวอาหารฮาลาลและครัวอาหารทั่วไป

โดยต้องยอมรับว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร หรืออาจอยากทานอาหารที่ตนเองคุ้นเคย ซึ่งก็ย่อมมีสิทธิที่กระทำได้ อีกทั้งต้องยอมรับว่า คนป่วยทุกคนไม่ได้มีญาติมาเยี่ยมทุกวัน หรือสามารถส่งอาหารให้ได้ทุกมื้อ ผู้ป่วยหลายคนนานๆจะมีญาติมาเยี่ยม เพราะอาจไม่สะดวกเรื่องการเดินทางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมเรื่องโครงการ “พาคนกลับบ้าน” ที่เมื่อเร็วๆนี้ชาวบ้านอำเภอสุคิริน ที่ส่วนมาเป็นคนไทยพุทธออกมาคัดค้าน ไม่ต้อนรับผู้ “กลับบ้าน” ต่างศาสนา ดร.สุชาติ เศรษฐมาลีนีนักวิชาการมุสลิมจากมหาวิทยาลัยพายัพเขียนไลน์มาให้บอกว่าเห็นด้วยกับผู้เขียนว่าการเเก้ปัญหาโดยใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่เพียงพอเเละยั่งยืน ควรมที่มุสลิมเองเเละต่างศาสนิกหรือคู่ขัดเเย้งตั้งสติสานเสวนาหาทางออก " จากประสบการณ์..ไม่ว่าฝ่ายพุทธหรือมุสลิม... การแก้ปัญหาโดยอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมของตนฝ่ายเดียวโดยไม่รู้จักใช้ฮิกมะฮ์(วิทยปัญญา)และไม่รู้สึกรู้สาความรู้สึกของอีกฝ่าย จะไม่มีทางนำความรุ่งเรืองสู่ศาสนาของตนเอง ผมเคยยกตัวอย่างหลายที่หลายทางเกี่ยวกับ ชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซียยุคก่อนอิสลามซึ่งเป็นชุมชนฮินดู อิหม่ามขณะนั้นขอร้องมุสลิมอย่ากินเนื้อวัว เพราะถึงแม้จะเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของมุสลิมแต่ไปทำลายความรู้สึกชาวฮินดู มุสลิมจึงหันไปกินเนื้อควายแทน จนในที่สุด ด้วยความงดงามของอิสลามและวิถีของมุสลิมในชุมชนนั้น ชาวฮินดูจึงได้หันมารับอิสลามและกลายเป็นชุมชนมุสลิมที่แทบไม่กินเนื้อวัวมาจนทุกวันนี้ [ที่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่า กรณีโรงเรียนอนุบาลปัตตานี ต้องให้เด็กมุสลิมทิ้งอัตลักษณ์ตนเอง ต้องเลิกคลุมฮิญาบนะครับ] เพียงแต่ต้องการบอกว่า

ทั้งฝ่ายพุทธและมุสลิมไม่ควรเริ่มต้นคุยกันด้วย “สิทธิ์” ของตนเป็นตัวตั้ง แต่หันมาคุยกันด้วยความรัก ด้วยเหตุด้วยผล ตอนนี้ฝ่ายพุทธก็ยืนยัน “สิทธิ์” และมองว่า “การที่โรงเรียนที่ตั้งบนพื้นที่วัดอนุญาตให้มุสลิมคลุมผมเป็นการทำลายแก่นของพุทธศาสนา” (คำพูดในคลิปของพระที่เป็นรองประธานสมาพันธ์ชาวพุทธ 3 จชต.) ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งที่อ่อนมากๆ ว่าการคลุมผมของเด็กมุสลิมไปทำลายแก่นของศาสนาพุทธอย่างไร ชาวพุทธไม่ควรยอมรับความคับแคบในการนิยามแบบนี้เพราะรังแต่จะสร้างความเสียหายให้พุทธศาสนามากกว่า เพราะศาสนาพุทธที่ผมเข้าใจมีความใจกว้าง และสันติกับทุกศาสนาโดยไม่ยึดติดกับอัตตาของตนเอง ผมเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้น่าเป็นห่วงครับ เพราะได้กลายเป็นสงครามอารมณ์ความรู้สึก และมุ่งเอาชนะคะคานกันมากกว่าพูดคุยกันด้วยเหตุผล อีกทั้งมีแนวโน้มจะลุกลามบานปลายขยายวงสร้างความเกลียดชังระหว่างศาสนามากยิ่งขึ้น น่าจะต้องมีทีมรีบพูดคุยทำความเข้าใจโดยเร็วครับ โดยเราต้องช่วยกันคิดโดยใช้ฮิกมะฮ์เพื่อให้เขายอมรับเราโดยไม่รู้สึกว่าเป็นการเสียหน้า เสียสิทธิ์ และหันหน้ามายอมรับซึ่งกันและกัน... เพื่อนอีกคนขอสงวนนาม(ทำงานสานเสวเเก้ปัญหาความขัดเเย้งอธิบายว่า " ถ้า เข้าใจเขาได้ เท้าก็สามารถแตะบันไดขั้นแรก ถ้า ไม่เข้าใจเขา ข้อดีก็คือแสดงว่าเราสามารถรู้ว่า "ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเรา " หาให้เจอได้จากตัวเรานี่เอง (ถ้าเอาจริง)ก็จะเริ่มเข้าใจเขาในประเด็นสำคัญ "ความเข้าใจ"เป็นปฐมบทและเป็นแรงใจสำคัญ (เจอแรงม๊อบอาจท้อได้) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนจะเป็นอย่างไรในอนาคต ประชาชนก็ยังต้องอยู่กับประชาชนด้วยกัน"

หากสามารถสานเสวนาพูดคุยด้วยใจท้ายสุดร่วมกันใช้อำนาจเพราะ อำนาจอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า อำนาจร่วม คือ ตัดสินโดยใช้อำนาจร่วมกัน เกิดจาก เข้าใจกัน เห็นฟ้องต้องกัน ยินยอมพร้อมใจกัน ถึงเเม้ตอนนี้ดูจะสายไป แต่อาจไม่สายไป เพราะปัญหาทุกอย่าง ความเสียหายทุกชนิดล้วนเป็นเหตุเตือนให้เราเริ่มต้นแก้ปัญหาให้ถูกทางอยู่เสมอ ครับหวังว่า งาน สานเสวนา Interfaith ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สูญเสียงบประมาณกันไปมากมายที่ดูอาจจะล้มเหลวต้องทำต่อไปและถอดบทเรียนว่าทำไม #สิทธิทางศาสนาและวัฒนธรรม ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาหรือวัฒนธรรมใดจะสามารถอยู่เหนือศาสนาและวัฒนธรรมอื่น แต่ทุกศาสนาและวัฒนธรรมล้วนมีความเท่าเทียมกันในการประพฤติปฏิบัติตามความเชื่อของตน หลักการศาสนาอิสลามเคารพสิทธิของคนกลุ่มน้อยในรัฐอิสลาม ไม่เบียดเบียน ไม่กดทับ และเชื่อว่านี่เป็นหลักการของทุกศาสนาด้วยเช่นกัน และหากปล่อยให้เหตุการณ์ความไม่เข้าใจในลักษณะเช่นนี้ยังคงเกิดขึ้น ก็คงต้องยอมรับความจริงว่า “

#พื้นที่พหุวัฒนธรรม” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นงานที่ท้าทาย ครับหวังว่าข้อคืดเห็นที่หลากหลายเหล่าจะนำพาไปสู่ทางสว่างในการเเก้ปัญหาที่ท้าทายร่วมกันในจชต.เเละสังคมไทยในภาพรวม

Contact Information

  • : มูลนิธิกองทุนไทย Thai Fund Foundation 2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
  • : webmaster@thaingo.org
  • : 082 178 3849
  • : www.thaingo.in.th

Thai NGO

ข่าวสารสังคมนอกสื่อกระแสหลัก ข่าวสารความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับเอ็นจีโอ ข่าวกิจกรรมเพื่อสังคม งานสัมนา สมัครงานเอ็นจีโอ ร้องเรียน แจ้งข่าว…ประนามประจาน !! ที่ได้รับความทุกข์ร้อนไม่เป็นธรรม